ข่าวเลขที่ 224/2568 “สุชาติ” เผยความสำเร็จการขับเคลื่อนมาตรการเชื่อมโยง ดันราคามังคุดใต้ทะลุกิโลกรัมละ 100 บาท (21 กรกฎาคม 2568)
สุชาติ เผยความสำเร็จการขับเคลื่อนมาตรการเชื่อมโยง ดันราคามังคุดใต้ทะลุกิโลกรัมละ 100 บาท สุชาติ โชว์ผลงานอัดมาตรการเต็มสูบ ดันราคามังคุดใต้เกรดมัน ทะลุกิโลกรัมละ 100 บาท บางพื้นที่แตะ 103 บาท หลังพาณิชย์พาผู้ประกอบการเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง สั่งคงมาตรการจนจบฤดูกาล ด้านเกษตรกรพอใจ ราคาดีขึ้นทุกวัน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าผลการดำเนินมาตรการดูแลราคามังคุดให้กับเกษตรกรในภาคใต้ ว่า หลังจากที่ผมและท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านจตุพร บุรุษพัฒน์ ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์มังคุดที่ จ.นครศรีธรรมราช และได้เชื่อมโยงผลไม้ออกนอกแหล่งผลิตเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยมาตรการของ กรมการค้าภายใน ในการเร่งระดมผู้ประกอบการ ทั้งห้างค้าส่ง-ค้าปลีก เข้าไปรับซื้อมังคุดโดยตรงจากกลุ่มเกษตรกร รวมถึงดึงบริษัทรายใหญ่ให้เข้าไปช่วยซื้อ และการจัดกิจกรรม Thailand Fruit Festival 2025 เพื่อกระตุ้นการบริโภค สามารถผลักดันให้ราคามังคุดปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ต่อเนื่อง และเป็นที่พอใจของเกษตรกร นายสุชาติ กล่าวเพิ่มว่า นับแต่วันที่ลงพื้นที่ไปดูแลปัญหาถึงขณะนี้ ตามที่ได้รับรายงานข้อมูลเข้ามา ณ วันที่ 20 กรกฎาคม 2568 ปรากฏว่าเราใช้มาตรการดังกล่าวเพียงแค่ 16 วัน ราคามังคุดดีดตัวขึ้นอย่างมาก โดยราคานอกกลุ่มประมูล เบอร์คละ อยู่ที่ 30-40 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) และเกรดมันรวม อยู่ที่ 70-100 บาทต่อ กก. สำหรับในกลุ่มประมูล เบอร์คละ อยู่ที่ 41-48 บาทต่อกก. และเกรดมันรวม อยู่ที่ 113-120 บาทต่อกก. ซึ่งเป็นระดับราคาที่สูงขึ้นจากต้นฤดูกาลอย่างชัดเจน ทำให้พี่น้องเกษตรได้จำหน่ายผลผลิตในราคาดีแม้จะเป็นช่วงปลายฤดู สร้างความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ผลผลิตมังคุดภาคใต้ปีนี้มีประมาณ 109,697 ตัน โดยจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นแหล่งผลิตหลัก คิดเป็น 40,063 ตัน และในขณะนี้ผลผลิตได้ออกสู่ตลาดแล้วกว่า 80% แต่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังได้สั่งการให้กรมการค้าภายในคงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ราคาผลผลิตอยู่ในระดับที่เป็นธรรมจนจบฤดูกาล สำหรับมาตรการต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์ยังได้ดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างหลากหลาย เช่น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อร่วมรับซื้อผ่านกิจกรรม CSR รวมถึงการรณรงค์บริโภคผลไม้ไทยผ่านงาน Thai Fruit Festival 2025 และการเชื่อมโยงผลผลิตกับห้างค้าส่ง-ค้าปลีกรายใหญ่ อาทิ บิ๊กซี แม็คโคร โลตัส โก โฮลเซลล์ ท็อปส์ เดอะมอลล์ เซเว่นอีเลฟเว่น ซูเปอร์ชีป ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากชมรมทายาทห้างค้าปลีก-ค้าส่ง สมาคมการค้า ตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย และสมาคมตลาดสดไทย เพื่อกระจายผลผลิตมังคุดสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศอย่างทั่วถึง
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 223/2568 “พาณิชย์” ลุยตรวจล้งทุเรียนภาคใต้ เดินหน้าคุ้มครองเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรม (19 กรกฎาคม 2568)
พาณิชย์ ลุยตรวจล้งทุเรียนภาคใต้ เดินหน้าคุ้มครองเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรม นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งสร้างเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายผลผลิต เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา จึงได้ให้ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร เพื่อติดตามการตรวจสอบเครื่องชั่งที่ใช้ในการับซื้อทุเรียน ณ ล้งรับซื้อทุเรียน ตามที่อธิบดีกรมการค้าภายในได้สั่งการให้สำนักงานสาขาชั่งตวงวัดในเขตพื้นที่ภาคใต้ ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ร่วมกับสายตรวจเฉพาะกิจและเจ้าหน้าที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ตรวจสอบเครื่องชั่งรถยนต์ เครื่องชั่งสปริง และเครื่องชั่งดิจิทัล ด้วยภาคใต้ได้เริ่มเก็บเกี่ยวทุเรียนตามฤดู ในช่วงมิถุนายน - กันยายน โดยกำหนดเป้าหมายการตรวจสอบผู้ประกอบการรับซื้อทุเรียนจังหวัดชุมพรที่มีกว่า 600 ราย และเครื่องชั่งในการซื้อขายกว่า 2,500 เครื่อง ซึ่งกรมฯ จะดำเนินการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรและตลาดผลไม้ไทย นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยังสั่งการให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ตรวจสอบการแสดงราคารับซื้อทุเรียนให้ชัดเจนตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 66 พ.ศ. 2566 ซึ่งกำหนดให้ล้งและผู้รวบรวมผลผลิตต้องติดป้ายแสดงราคารับซื้อทุกวัน ภายในเวลา 08.00 น. หรือก่อนเปิดทำการรับซื้อ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเปรียบเทียบราคาและตัดสินใจขายได้อย่างเป็นธรรม รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเน้นย้ำว่า ได้ให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจช่วงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เกษตรกรนำผลผลิตมาจำหน่ายมากที่สุด และขอความร่วมมือผู้รวบรวมปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยหากไม่แสดงราคารับซื้อ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหากพบการโกงเครื่องชั่ง มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 280,000 บาท หากเกษตรกรพบปัญหาหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 222/2568 “สุชาติ” ใช้ ตลาดนำการผลิต หนุน “กล้วยหอมเขียว” สู่ตลาดส่งออกญี่ปุ่น เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ชี้โอกาสทองในกรอบ JTEPA (18 กรกฎาคม 2568)
สุชาติ ใช้ ตลาดนำการผลิต หนุน กล้วยหอมเขียว สู่ตลาดส่งออกญี่ปุ่น เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ชี้โอกาสทองในกรอบ JTEPA รมช.สุชาติ เดินหน้า ตลาดนำการผลิต นำร่องปลูกกล้วยหอมเขียว (คาเวนดิช) ส่งออกญี่ปุ่น โดยกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่เสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรต่อไร่สูงขึ้น 4 14% พร้อมได้รับความเชื่อมั่นจากผู้นำเข้าญี่ปุ่นที่ต้องการกล้วยหอมไทยคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โควตากรอบความตกลง JTEPA เตรียมต่อยอดขยายพื้นที่ปลูกกล้วยหอมเขียวสู่แปลงใหญ่ในจังหวัดอื่นๆ เพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงให้เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 จังหวัดนนทบุรี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ในการสนับสนุนเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกพืชตามความต้องการของตลาด โดยใช้หลักการตลาดนำการผลิต เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มขึ้น กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในจึงได้มีการจัดทำลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง บริษัท พีแอนด์เอฟ เทคโน จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น กับ บริษัท แปลงใหญ่กล้วยหอมทองสุขไพบูลย์ จำกัด เพื่อส่งออกกล้วยหอมทองจากไทยไปยังตลาดญี่ปุ่น โดยใช้โควตาส่งกล้วยหอมภายใต้กรอบความตกลง JTEPA ปริมาณ 8,000 ตัน/ปี ปัจจุบันมีการส่งออก กล้วยหอมทอง เพียงปริมาณ 2,000 ตัน ซึ่งการทำความตกลงในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มปริมาณ ผลผลิตกล้วยหอมเขียว (คาเวนดิช) เพื่อส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ตันมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการรวมกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ ผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพกล้วยหอมเพื่อการส่งออกตามมาตรฐาน GAP และ GMP ซึ่งมีสมาชิกกว่า 100 ราย นายสุชาติ กล่าวต่อว่า จากโควตาภายใต้ความตกลงดังกล่าว ไทยสามารถใช้สิทธิประโยชน์ส่งออกกล้วยโดยไม่เสียภาษีนำเข้า ได้อีกจำนวนมาก กรมการค้าภายในจึงเข้ามาต่อยอดโดยการสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกกล้วยหอมเขียว (คาเวนดิช) ที่มีความได้เปรียบด้านความทนทานต่อโรคและการขนส่ง ผลผลิตต่อไร่สูง และเก็บรักษาได้นาน โดยกรมการค้าภายในได้สนับสนุนกล้วยหอมเขียวครบวงจร ตั้งแต่ให้คำปรึกษาเชิงลึกโดยผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ ช่วยเกษตรกรดูแลหลังเก็บเกี่ยว คัดคุณภาพ และเลือกบรรจุภัณฑ์เหมาะสมเพื่อการส่งออก พร้อมสนับสนุนพันธุ์กล้วยหอมเขียวต้นแบบกว่า 128,000 ต้น ครอบคลุมพื้นที่ 400 ไร่ ตอบโจทย์ตลาดญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงตลาดญี่ปุ่นผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เสริมสร้างโอกาสส่งออกกล้วยหอมเขียวไทยสู่ตลาดญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น นายสุชาติ กล่าวย้ำว่า กิจกรรมในวันนี้โดยการสนับสนุนของกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นสูงสุดถึงไร่ละ 18,000 บาท หรือเพิ่มขึ้นรวมทั้งแปลง 2 7.2 ล้านบาท คิดเป็น 4% 14% โดยการปลูกกล้วยหอมเขียวเพื่อส่งออกประเทศญี่ปุ่น กล้วยหอมเขียว (คาเวนดิช) มีผลผลิตต่อไร่สูง ส่งออกได้จริงในกรอบ JTEPA และมีตลาดญี่ปุ่นรองรับต่อเนื่อง กระทรวงพาณิชย์พร้อมผลักดันให้เป็นหนึ่งในสินค้าดาวรุ่งด้านส่งออกของไทย ร่วมกับกล้วยหอมทองที่มีศักยภาพสูง และเรามีแผนขยายผลสำเร็จจากแปลงใหญ่กล้วยหอมทองสุขไพบูลย์ในเสิงสางสู่กลุ่มแปลงใหญ่ในจังหวัดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ปลูกกล้วยหอมเขียวและกล้วยหอมทอง ด้วยโมเดลการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและการเชื่อมโยงตลาดที่แข็งแรง สร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกรไทย ซึ่งหากปริมาณการส่งออกกล้วยหอมของเกษตรกรใกล้โควตา ผมจะดำเนินการเจรจาเพื่อขยายโควตาในการส่งออกกล้วยหอมไปยังญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าศักยภาพของเกษตรกรไทยสามารถปลูกผลผลิตเพื่อการส่งออกแบบนี้ได้อีกเยอะ นายสุชาติกล่าว
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 221/2568 “DITxAirasia” เดินสายโปรโมต เมนูอาหาร-เครื่องดื่มจากลำไย “สั่งลำไยบนไทยแอร์เอเชีย” เพียงสั่งเท่ากับช่วยเกษตรกรไทย (18 กรกฎาคม 2568)
DITxAirasia เดินสายโปรโมต เมนูอาหาร-เครื่องดื่มจากลำไย สั่งลำไยบนไทยแอร์เอเชีย เพียงสั่งเท่ากับช่วยเกษตรกรไทย กรมการค้าภายในจับมือไทยแอร์เอเชีย ดันเมนูอาหารจากลำไย มังคุด และสับปะรดภูแล เสิร์ฟบนเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ไก่ทอดซอสลำไย โอ้เอวน้ำลำไย ยำมังคุดกุ้งสด และพิซซ่าฮาวายเอี้ยนสับปะรดภูแล เพียงท่านสั่ง ก็เท่ากับช่วยเกษตรกรไทย พร้อมเตรียมต่อยอดสู่กุ้งและปลากะพง เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรสู่ตลาดใหม่ วันนี้ 18 ก.ค. 2568 ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ประชาสัมพันธ์การจำหน่ายเมนูอาหาร-เครื่องดื่มบนเครื่องบินสายการบินไทยแอร์เอเชีย โดยเปิดเผยว่า ตามนโยบายท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านจตุพร บุรุษพัฒน์ ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย โดยเฉพาะการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ด้วยการเพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ให้เข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง และตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ให้ความสำคัญกับสินค้าเกษตรของไทยในการเพิ่มช่องทางตลาดใหม่ๆ ให้กับเกตรกร กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จึงได้ร่วมกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย ผลักดันผลไม้ไทยสร้างมูลค่าเพิ่มในรูปแบบเมนูอาหารบนเที่ยวบิน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทยผ่านการซื้อผลผลิตโดยตรง โดยสืบเนื่องจากที่กรมการค้าภายในเซ็น MOU กับ ไทยแอร์เอเชีย ในการรับซื้อผลไม้สดจากเกษตรกร เป้าหมาย 1,000 ตัน ในระยะเวลา 1 ปี โดยไทยแอร์เอเชียจะนำผลไม้มาเป็นวัตถุดิบในเมนูอาหารทั้งคาวและหวาน จำหน่ายบนเครื่องบินทั้งในและต่างประเทศ โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป นายวิทยากร กล่าวต่อว่า วันนี้กรมการค้าภายในและไทยแอร์เอเชีย จึงมาโปรโมตเมนูอาหารใหม่ที่นำขึ้นจำหน่ายบนเที่ยวบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาสู่ท่าอากาศยานดอนเมืองได้รู้จักกับเมนูอาหาร และสร้างการรับรู้ว่าท่านสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ง่ายง่ายเพียงสั่งอาหารบนสายการบินไทยแอร์เอเชียด้วยเมนูที่มีผลไม้เป็นวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นลำไย มังคุด และสับปะรดภูแล ที่นำมาแปรรูปเป็นเมนูอาหารคาวและหวาน เพื่อยกระดับคุณค่า และสร้างรายได้ให้พี่น้องเกษตรกรไทย โดยโมเดลนี้เป็นการดึงพันธมิตรรายใหญ่ช่วยรับซื้อผลไม้จากเกษตรกรและนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มโดยการผลิตเป็นสินค้าอาหารและเครื่องดื่มออกจำหน่ายในตลาดใหม่ โดยไทยแอร์เอเชีย จะช่วยรับซื้อผลไม้หลัก ๆ 3 ชนิด คือ ลำไย มังคุด และสับปะรดภูแล ผลิตเป็นเมนูจำหน่ายบนเครื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.2568 เป็นต้นไปและจะจำหน่ายไปจนถึงกลางปี 2569 นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด กล่าวว่า สายการบินไทยแอร์เอเชีย มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับกรมการค้าภายใน ในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ในครั้งนี้ ซึ่งเราได้ผลไม้ที่มีคุณภาพมาสร้างสรรค์เป็นเมนูที่แปลกใหม่และเป็นทางเลือกให้ผู้โดยสารทั้งเส้นทางภายในและระหว่างประเทศ ครอบคลุมทั้งสายการบินไทยแอร์เอเชีย และไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ซึ่งจากการจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทั้งนี้เมนูกลุ่มเเรก ภายใต้ธีม อาหารใต้ใกล้ฉัน โดยเมนูเด่น ได้แก่ ไก่ทอดซอสลำไย เป็นเมนูอาหารคาวที่ผสมผสานความหอมหวานของลำไยสด กับความจัดจ้านแบบปักษ์ใต้ และในหมวดของหวานยังมีเมนูเครื่องดื่มอย่าง โอ้เอวน้ำลำไย ที่เน้นรสชาติธรรมชาติจากลำไยแท้ๆ โดยหลังจากนี้จะมีเมนูใหม่ๆ เมนูมังคุด ได้เเก่ ยำมังคุดกุ้งสด แกงเผ็ดเป็ดย่างใส่มังคุด ฮอกไกโด โรลมังคุด เมนูสับปะรด ได้เเก่ พิซซ่าฮาวายเอี้ยน น้ำพริกอ่องสับปะรดภูแล เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีจำหน่าย Snack box อาหารว่างเเละเครื่องดื่มที่มาจากผลไม้ พร้อมความพิเศษใน Snack box จะได้รับคูปองส่วนลด 20 บาท เพื่อใช้ซื้อสินค้าเมนูจากผลไม้เพื่อช่วยเกษตรกรได้อีกด้วย นายวิทยากร กล่าวว่า กรมขอขอบคุณไทยแอร์เอเชียอีกครั้ง ภายใต้โครงการนี้ เราสามารถช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทั้งผู้ปลูกผลไม้และเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งและปลากะพง ขยายช่องทางการจำหน่ายออกสู่ตลาดใหม่ ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าของสายการบินแอร์เอเชียทั้งในและต่างประเทศ เราตั้งใจให้ผลไม้มาเป็นวัตถุดิบอาหารชั้นเลิศที่มีคุณค่ามากขึ้น ทั้งในแง่ของมูลค่าและการส่งต่อเรื่องราวของเกษตรกรไทยให้ผู้โดยสารทั้งชาวไทยและต่างชาติได้สัมผัสผ่านอาหาร ขอเชิญชวนประชาชนทดลองลิ้มรสเมนูสุดพิเศษเหล่านี้บนเที่ยวบินของแอร์เอเชีย และร่วมอุดหนุนเกษตรกรไทยผ่านอาหารที่สะท้อนวัฒนธรรมและคุณภาพของผลไม้ไทยโดยกรมการค้าภายใน จะยังร่วมกับ ไทยแอร์เอเชีย นำทัพผลไม้ต่างๆภายใต้กิจกรรม Fruit On Board นำผลไม้คุณภาพเสิร์ฟถึงมือผู้บริโภค อิ่มท้องแล้วยังได้ช่วยพี่น้องเกษตรกรอีกด้วย นายวิทยากรกล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 220/2568 กรมการค้าภายใน จัดชุด ‘สายตรวจ DIT’ 8 จังหวัดภาคเหนือ รับรองมาตรฐาน “เครื่องคัดขนาดลำไย” สร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายให้เกษตรกร พร้อมยกระดับมาตรฐานลำไยไทยสู่ตลาดโลก (16 กรกฎาคม 2568)
กรมการค้าภายใน จัดชุด สายตรวจ DIT 8 จังหวัดภาคเหนือ รับรองมาตรฐาน เครื่องคัดขนาดลำไย สร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายให้เกษตรกร พร้อมยกระดับมาตรฐานลำไยไทยสู่ตลาดโลก กรมการค้าภายใน จัดชุดสายตรวจเฉพาะกิจ DIT โดยบูรณาการตรวจสอบเครื่องวัดสำหรับคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน โดยลงพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตลำไยสำคัญของประเทศ สานต่อภารกิจคุ้มครองเกษตรกรผู้ปลูกลำไย พร้อมยกระดับมาตรฐานการซื้อขายลำไยให้เป็นธรรมและน่าเชื่อถือสำหรับฤดูกาลลำไย 2568 วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น ที่มุ่งเน้นบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร และเสริมช่องทางการตลาดให้กับสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ไทย เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 จึงได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ นำเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบเครื่องคัดขนาดลำไย เพื่อดูแลความเป็นธรรมระหว่างเกษตรกร ผู้ประกอบการ โรงอบลำไย และผู้ส่งออก โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตลำไยออกสู่ตลาดจำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในการซื้อขายหากไม่มีการควบคุมมาตรฐานที่ชัดเจน ทั้งนี้ กรมฯ ได้จัดชุดสายตรวจเฉพาะกิจลงพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย พะเยา ลำปาง ตาก แพร่ และน่าน เพื่อดำเนินการตรวจสอบเครื่องร่อนคัดขนาดลำไยสดรูดร่วงอย่างครอบคลุม โดยเครื่องที่ผ่านการตรวจรับรองจากกรมฯ จะได้รับ เครื่องหมายคำรับรอง ซึ่งเป็นซีลตราครุฑ ติดไว้ 3 จุด ได้แก่ ฝาประกับเครื่อง 2 จุด และระดับน้ำ 1 จุด เพื่อป้องกันการดัดแปลงอุปกรณ์ภายหลัง พร้อมทั้งติดสติกเกอร์ตรวจสอบประจำปี โดยเครื่องที่ได้รับการรับรองจะมีอายุการใช้งานนาน 2 ปี รองอธิบดีฯ ย้ำว่า หากผู้ประกอบการยังคงใช้เครื่องที่ไม่ได้ผ่านการตรวจรับรอง จะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 มาตรา 70 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จึงขอให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรให้ความร่วมมือในการนำเครื่องมารับการตรวจสอบตามระเบียบ การดูแลความเป็นธรรมในกระบวนการซื้อขายลำไยตั้งแต่ต้นทาง นับเป็นภารกิจสำคัญของกรมการค้าภายใน เพื่อคุ้มครองเกษตรกรและส่งเสริมความเชื่อมั่นของตลาดทั้งในและต่างประเทศ นายอุดม กล่าวเพิ่มเติม พร้อมเชิญชวนผู้เกี่ยวข้องร่วมยกระดับมาตรฐานลำไยไทย ให้มีคุณภาพน่าเชื่อถือ สามารถแข่งขันและส่งออกได้อย่างมั่นใจในตลาดโลก
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 219/2568 “DITxPTT” ขน ‘มังคุด-มะพร้าวน้ำหอม’ จำหน่ายหน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. 15-16 ก.ค. เชิญชวนประชาชนช่วยเกษตรกรซื้อผลไม้ไทย (15 กรกฎาคม 2568)
DITxPTT ขน มังคุด-มะพร้าวน้ำหอม จำหน่ายหน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. 15-16 ก.ค. เชิญชวนประชาชนช่วยเกษตรกรซื้อผลไม้ไทย กรมการค้าภายใน (DIT) ผนึกกำลัง ปตท. (PTT) เดินหน้าช่วยเกษตรกรไทย นำ มังคุด จากชุมพร และ มะพร้าวน้ำหอม จากราชบุรี วางจำหน่ายหน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. วันที่ 15 16 ก.ค. นี้ ราคาย่อมเยา พร้อมเตรียมลำไยจากเชียงใหม่ ลำพูนลุยตลาดต่อเนื่อง ตอกย้ำพลังความร่วมมือรัฐ-เอกชน สร้างโอกาสใหม่ให้ผลไม้ไทย วันนี้ (15 กรกฎาคม 2568) ณ สำนักงานใหญ่ ปตท. เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายในได้ดำเนินการตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านจตุพร บุรุษพัฒน์ ที่เป็นผู้ริเริ่มและผลักดันให้นำสินค้าเกษตรจากเกษตรกรมาจำหน่ายร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ตามนโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย ประกอบกับที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และท่านรัฐมนตรีช่วยว่ากากระทรวงพาณิชย์ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ได้ลงพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงสินค้าเกษตรเอง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในพื้นที่ผลผลิตมังคุด และจังหวัดราชบุรีในพื้นที่ผลผลิตมะพร้าวน้ำหอม โดยได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเร่งกระจายผลผลิตในพื้นที่ผ่านกลไกความร่วมมือของภาคเอกชน นายวิทยากร กล่าวต่อว่า วันนี้กรมการค้าภายใน จึงได้ประสานความร่วมมือกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และเครือข่ายภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการระบายผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะมังคุดและมะพร้าวน้ำหอม ซึ่งเป็นผลไม้ฤดูกาลสำคัญของประเทศ โดย ปตท.ถือว่าเป็นพันธมิตรหลักที่ช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของกรมมาโดยตลอด ตั้งแต่มะม่วงแฟนซีที่ทาง ปตท .เป็นเจ้าหลักในการเข้ามาช่วยรับซื้อและรับมาจำหน่าย ซึ่งในวันนี้ถือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้นำมะพร้าวน้ำหอมจากจังหวัดราชบุรี จำนวน 2,500 ลูก จำหน่ายเพียง ลูกละ 15 บาท น้ำมะพร้าวขวด 600 ขวด และมังคุดจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดชุมพร อีก 3,000 กิโลกรัม จำหน่ายตระกร้าละ 4.5 กิโลกรัม ราคา 130 บาท ซึ่งได้การตอบรับที่ดีมากจากพนักงานทั้งของ ปตท.และประชาชนพื้นที่ใกล้เคียง กว่า 5,000 คน โดยกิจกรรมการจำหน่ายผลไม้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 16 กรกฎาคม 2568 ณ สำนักงานใหญ่ ปตท. เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นอกจากการให้พื้นที่จำหน่ายแล้ว บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งใน SET50 ที่ได้ร่วมร่วมสนับสนุนการรับซื้อผลไม้จากเกษตรกรในรูปแบบกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ตามนโยบายของท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ท่านพิชัย ชุณหวชิร โดยซื้อผลไม้รวมปริมาณกว่า 404,500 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.3 ล้านบาท ได้แก่ มะม่วงแฟนซีจากเกษตรกรลำพูน มังคุดจากสหกรณ์ในระยอง และนครศรีธรรมราชอีกด้วย ด้านนายเวโรจน์ วงศ์ประดู่ เลขาสมาคมมะพร้าวน้ำหอมไทย กล่าวต่อว่า สมาคมขอขอบคุณกรมการค้าภายในที่ได้เชื่อมโยงมะพร้าวน้ำหอมในพื้นที่และกระจายไปในแหล่งต่าง ๆ และขอขอบคุณ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ให้ช่วยเหลือเกษตรกร โดยการให้พื้นที่ในการจำหน่ายในชุมชนกรุงเทพฯ โดยมะพร้าวน้ำหอมที่นำมาจำหน่ายในวันนี้ เป็นมะพร้าวเกรดส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา อยากขอให้ประชาชนช่วยสนับสนุนผลไม้ของเกษตรกรไทย นายวิทยากร กล่าวตอนท้าย ว่า วันนี้ต้องขอขอบคุณพันธมิตรภาคเอกชน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นอย่างสูง ที่ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในการนำผลไม้ไทยได้มาวางจำหน่ายในกรุงเทพ โดยไม่มีค่าใชจ่าย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีทุเรียนและมังคุด วางจำหน่ายที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งได้เสียงตอบรับดีมากจากประชาชน วันนี้ก็มีการจัดต่อเนื่องที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ จึงขอเชิญชวนประชาชนมาเลือกซื้อผลไม้ โดยมะพร้าวน้ำหอมที่นำมาจำหน่ายเป็นเกรดส่งออก และวันนี้กรมได้นำมะพร้าวล็อตเดียวกันนี้ จัดเป็นอาหารว่างในที่ประชุม ครม. ตามข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ท่านจตุพร บุรุษพัฒน์ ที่ให้นำผลไม้ไทยเป็นอาหารว่างในการประชุม ตามนโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย โดยทางกรมการค้าภายในจะพยายามนำผลไม้ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามาจำหน่ายโดยจะทำต่อเนื่อง โดยต่อไปจะนำ ลำไย จากเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนมาจำหน่ายต่อไป รวมทั้ง เราได้เตรียมตลาดต่างประเทศรองรับไว้ไม่ว่าจะเป็นอินเดียตะวันออกกลางหรืออินโดนีเซีย ความร่วมมือครั้งนี้เป็นรูปธรรมสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพลังของภาครัฐและเอกชนในการช่วยเหลือเกษตรกรไทย ไม่เพียงแต่ช่วยระบายผลผลิตเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 218/2568 “จตุพร” รมว.พาณิชย์ หารือหน่วยงานเชียงใหม่ เร่งมาตรการช่วยชาวสวนลำไย เพิ่มเป้าส่งออกและขยายตลาดอินเดีย ยูเออี เชื่อมั่นศักยภาพตลาดในประเทศ ตามนโยบาย “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย” (14 กรกฎาคม 2568 )
จตุพร รมว.พาณิชย์ หารือหน่วยงานเชียงใหม่ เร่งมาตรการช่วยชาวสวนลำไย เพิ่มเป้าส่งออกและขยายตลาดอินเดีย ยูเออี เชื่อมั่นศักยภาพตลาดในประเทศ ตามนโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์การจำหน่ายสินค้าในตลาดใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ ตลาดต้นพยอม และตลาดวโรรส และได้ใช้โอกาสนี้หารือสถานการณ์ผลผลิตลำไยซึ่งอยู่ในช่วงต้นฤดู โดยเปิดเผยว่า วันนี้ผมได้ถือโอกาสเยี่ยมเยียนพ่อค้า แม่ค้าในตลาดใหญ่ของเมืองเชียงใหม่ เพื่อดูสถานการณ์การค้าพบว่าปัจจุบันทั้ง 2 ตลาดยังมีนักท่องเที่ยวและผู้ซื้อคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าก็มีการนำสินค้าสดใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของตลาดมาจำหน่ายอย่างคับคั่ง อาทิ แคปหมูน้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว กาละแม ซึ่งเป็นที่นิยมที่นักท่องเที่ยวซื้อเป็นของฝาก นายจตุพร กล่าวต่อว่า ผมใช้โอกาสนี้พบปะหน่วยงานราชการจังหวัดเชียงใหม่ สหกรณ์การเกษตรจอมทอง สภาเกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่ สหกรณ์พืชผักผลไม้เพื่อการตลาดจังหวัดเชียงใหม่ จำกัด ร่วมหารือแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไย โดยทางเกษตรกรได้สะท้อนปัญหาและข้อเรียกร้องที่สำคัญหลายประเด็น อาทิ การขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยวลำไย และต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณพัฒนา มาตรฐานโรงคัดบรรจุและโกดัง (GMP, HACCP) เพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งออก ขณะเดียวกัน เสนอให้รัฐสนับสนุนผู้ประกอบการโรงอบและผู้ส่งออกลำไยสดรายใหม่ ๆ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากโครงการ ธ.ก.ส. และขอให้ภาครัฐเร่งผลักดันโควตาส่งออกไปอินโดนีเซีย รวมถึงการสนับสนุนบรรจุภัณฑ์ เช่น ตะกร้า 5 กิโลกรัม และกล่อง 10 กิโลกรัม สำหรับขายตรงออนไลน์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางเร่งด่วนหลายมาตรการสำหรับสินค้าลำไย อาทิ เปิดจุดจำหน่ายลำไยที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และหน่วยงานอื่น ๆ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2568 กระจายผลผลิตผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ รวมถึง สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ภายใต้กิจกรรม Thai Fruits Festival เชื่อมโยงกับห้างค้าส่งค้าปลีก ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดกลาง ตลาดสด รวมถึงการจัดกิจกรรม Pre-Order และ CSR จากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สนับสนุนกล่องไปรษณีย์และตะกร้าให้สถาบันเกษตรกรผ่าน สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ซึ่งเชื่อว่าผลผลิตที่จะออกมา เรามีตลาดรองรับ และจะทำให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้อย่างแน่นอน ในส่วนข้อเสนอเรื่องการส่งออก กระทรวงพาณิชย์มีกิจกรรมในการเร่งผลักดันการส่งออกในช่วงผลผลิตออกมาก โดยตั้งเป้าหมายส่งออกลำไยทั้งสดและแปรรูป รวม 65,000 ตัน โดยเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศผ่านสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) ซึ่งมีการจัดกิจกรรม Business Matching สินค้าลำไยแล้วมูลค่า 200 ล้านบาท และยังมีการติดตามโควตาการส่งออกไปอินโดนีเซีย โดยการเชื่อมโยงเจรจาการค้าไปอินโดนีเซีย ระหว่างฑูตพาณิชย์กับพาณิชย์จังหวัด ช่วง มีนาคมถึงเมษายน 2568 และ ระหว่าง 8-9 กรกฎาคม 2568 ทำให้ผู้ส่งออกในจังหวัดลำพูน ได้โควตาไม่อั้นจากอินโดนีเซีย และนอกจากอินโดนีเซีย จะมีการขยายตลาดไปยังอินเดีย และประเทศในตะวันออกกลาง อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วย นายจตุพร กล่าวย้ำถึง นโยบายหลัก ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย จะทำให้ผลผลิตลำไยของพี่น้องเกษตรกรปีนี้ได้มีตลาดรองรับทั่วประเทศ และประชาชนได้ช่วยสนับสนุนเกษตรกรได้โดยตรงผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในส่วนของภาคการผลิต มอบหมายให้กรมการค้าภายในดำเนินการ ลดราคาปุ๋ยและปัจจัยการผลิตทางการเกษตร โดยจัดเป็นสินค้าธงเขียว เพื่อลดต้นทุนให้เกษตรกรให้ได้มากที่สุดเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งเตรียมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในวันอังคารที่ 15 กรกฎาคมนี้ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาแรงงานภาคการเกษตร โดยเฉพาะแรงงานเก็บลำไย และกำหนดมาตรการช่วยเหลือลำไยทั้งระบบ สำหรับปี 2568 ปริมาณผลผลิตลำไยของจังหวัดเชียงใหม่อยู่ที่ 443,622 ตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.32 จากปี 2567 โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดในเดือนสิงหาคม จำนวน 164,577 ตัน คิดเป็นร้อยละ 37 ของผลผลิตทั้งหมด ขณะนี้มีผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วประมาณร้อยละ 8 หรือ 22,409 ตัน กระจายในพื้นที่ อำเภอจอมทอง ดอยหล่อ แม่วาง สันป่าตอง ฮอด และดอยเต่า โดยปัจจุบันราคาลำไยจังหวัดเชียงใหม่ล่าสุด (12 กรกฎาคม 2568) ลำไยสดรูดร่วง เกรด AA ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 19 ถึง 20 บาท เกรด A ราคา 10 ถึง 11 บาท เกรด B ราคา 5 ถึง 6 บาท และเกรด C ขนาดไม่เกิน 20 มิลลิเมตร ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 1 บาท ลำไยสดช่อ (ตะกร้าขาว อินโดนีเซีย) เกรดทองราคา 25 บาทต่อกิโลกรัม เกรดแดง 22 บาทต่อกิโลกรัม เกรดน้ำเงิน 17 บาทต่อกิโลกรัม และเกรดเขียว 8 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนลำไยสดมัดปุ๊ก เกรด AA บวก A ราคา 18 ถึง 20 บาทต่อกิโลกรัม และเกรด A บวก B ราคา 12 ถึง 15 บาทต่อกิโลกรัม
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 217/2568 “สุชาติ พร้อมเดินหน้ามาตรการคู่ขนาน ดันราคาลำไย ดูดซับผลผลิต ช่วยเกษตรกร” (12 กรกฎาคม 2568)
สุชาติ พร้อมเดินหน้ามาตรการคู่ขนาน ดันราคาลำไย ดูดซับผลผลิต ช่วยเกษตรกร นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยวันนี้ (12 กรกฎาคม 2568) ว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวทางออนไลน์ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดว่าลำไยจังหวัดเชียงใหม่มีราคาตกต่ำเหลือเพียงกิโลกรัมละ 1 บาทนั้น ข้อเท็จจริงราคาดังกล่าวเป็นเพียงราคาลำไยเกรด C ซึ่งเป็นลำไยรูดร่วง ผลขนาดเล็กประมาณ 20 มิลลิเมตร ไม่ใช่ราคาลำไยทั้งหมด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ยืนยันว่าลำไยเกรดดีที่นิยมบริโภค เช่น เกรด AA ปัจจุบันมีราคารับซื้อกิโลกรัมละ 19 ถึง 20 บาท ส่วนราคากิโลกรัมละ 1 บาท เป็นราคาลำไยเกรดต่ำซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับช่วงปีที่ผ่านมา นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ผลผลิตลำไยของจังหวัดเชียงใหม่ได้ออกสู่ตลาดแล้วประมาณร้อยละ 8 หรือราว 22,409 ตัน ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในพื้นที่อำเภอจอมทอง ดอยหล่อ แม่วาง สันป่าตอง ฮอด และดอยเต่า เกษตรกรยังคงส่งผลผลิตให้ล้งรับซื้อเป็นปกติในช่วงต้นฤดูกาล ซึ่งเมื่อมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามา ราคาลำไยจะปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาด สำหรับลำไยเกรด C ส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังเวียดนาม โดยปีที่ผ่านมาเวียดนามมีความต้องการสูง แต่ปีนี้เวียดนามมีผลผลิตเองมากขึ้น จึงชะลอคำสั่งซื้อออกไป สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่จึงเตรียมเร่งเชื่อมโยงผู้ประกอบการแปรรูปเข้ามาดูดซับผลผลิตส่วนนี้ นายสุชาติ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้เดินหน้ามาตรการคู่ขนานเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาลำไยและช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยมอบหมายให้กรมการค้าภายในและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ รวบรวมลำไยเพื่อส่งออก 15,000 ตัน และเชื่อมโยงการแปรรูปลำไยอบแห้งอีก 50,000 ตัน โดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกกระจุกตัวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกรกฎาคม เชื่อมโยงการจำหน่ายในประเทศผ่านระบบพรีออเดอร์ ห้างโมเดิร์นเทรด ตลาดกลาง ตลาดสด หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เชื่อมโยงผลผลิตจากภาคเหนือสู่ผู้บริโภคทั่วประเทศผ่านกลไกสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด และส่งเสริมการขายออนไลน์ พร้อมสนับสนุนกล่องไปรษณีย์ส่งฟรี เพื่อกระจายผลผลิตสู่ตลาดภายในประเทศทุกภูมิภาค ด้านตลาดต่างประเทศ มอบกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศยังได้เร่งประสานนำเข้าผู้นำเข้าจากตลาดเป้าหมาย ทั้งจีนและประเทศอื่น ๆ เข้ามาสั่งซื้อลำไยสดและแปรรูป โดยระหว่างวันที่ 7 ถึง 16 กรกฎาคมนี้ สค. ได้จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ผลักดันการค้าลำไยสด ลำไยอบแห้ง แช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์จากลำไยในตลาดจีน ฮ่องกง มาเลเซีย อินเดีย และ UAE คาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้กว่า 200 ล้านบาท ราคาลำไยจังหวัดเชียงใหม่ล่าสุด (12 กรกฎาคม 2568) ลำไยสดรูดร่วง เกรด AA ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 19 ถึง 20 บาท เกรด A ราคา 10 ถึง 11 บาท เกรด B ราคา 5 ถึง 6 บาท และเกรด C ขนาดไม่เกิน 20 มิลลิเมตร ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 1 บาท ลำไยสดช่อ (ตะกร้าขาว อินโดนีเซีย) เกรดทองราคา 25 บาทต่อกิโลกรัม เกรดแดง 22 บาทต่อกิโลกรัม เกรดน้ำเงิน 17 บาทต่อกิโลกรัม และเกรดเขียว 8 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนลำไยสดมัดปุ๊ก เกรด AA บวก A ราคา 18 ถึง 20 บาทต่อกิโลกรัม และเกรด A บวก B ราคา 12 ถึง 15 บาทต่อกิโลกรัม รมช.พาณิชย์ย้ำว่า กระทรวงจะติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมเดินหน้าทุกมาตรการเพื่อดูแลราคาลำไยให้เป็นธรรมและช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้ที่เหมาะสม
ดูเพิ่มเติม
Dit Logo New (2)

กรมการค้าภายใน ขอส่งแรงใจให้ทหารแนวหน้าที่กำลังปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทย และพี่น้องชาวไทย ขอให้ปลอดภัย

สอบถามข้อมูล

arrow-down

DIT Chat Service ยินดีให้บริการ

maximize
สอบถามข้อมูลเพิมเติมกับเจ้าหน้าที่ (Admin)

บริการของกรมการค้าภายใน

7422635f-7946-4705-88ec-05d965bd7b40

การขออนุญาตประกอบการค้า

862c658c-96a2-4f51-87cb-7ae89028e48a

สอบถามราคาสินค้าเกษตร

e776ba32-103f-4917-b746-5333af42cf9d

รวบรวมกิจกรรมกรมการค้าภายใน

3e6fa301-b225-4427-b882-4d78e453a2ed

การเดินทางมายังกรมการค้าภายใน

เลขที 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000

โทรศัพท์ 0-2507-5530

โทรสาร: 0-257-5361

E-mail: Saraban@dit.go.th

Call Center: 1569 ร้องเรียน/เสนอแนะ