ข่าวเลขที่ 279/2568 DIT ปั้น Farm Outlet หนุนเกษตรกรไทยกว่า 15 ปี ยอดขายงานแฟร์ทะลุ 4 ล้าน เดินหน้าต่อที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า (16 กันยายน 2568)
DIT ปั้น Farm Outlet หนุนเกษตรกรไทยกว่า 15 ปี ยอดขายงานแฟร์ทะลุ 4 ล้าน เดินหน้าต่อที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า DIT ดัน Farm Outlet ศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรและชุมชนที่ช่วยเชื่อมโยงผลผลิตจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มและขยายช่องทางตลาดมากว่า 15 ปี ล่าสุดจัดงาน Farm Outlet Fair รวมร้านค้าชุมชนทั่วประเทศมาให้เลือกซื้อในที่เดียว ยอดขายทะลุ 4 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าต่อยอดจัดงานต่อที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้า วันที่ 16 กันยายน 2568 นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า โครงการ ศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน หรือ Farm Outlet เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของกรมการค้าภายในที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี โดยมีเป้าหมายให้ร้าน Farm Outlet เป็นศูนย์กลางการจำหน่ายสินค้าเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูป และงานหัตถกรรม ที่ผลิตจากวัตถุดิบท้องถิ่นโดยเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน Farm Outlet จะเป็นแหล่งเชื่อมโยงผลผลิตโดยตรงจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภค ช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตร และสามารถพัฒนาต่อยอดได้ในรูปแบบต่าง ๆ และยังช่วยให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อสินค้าสดใหม่ของเกษตรกร ได้สินค้าที่มีคุณภาพ อีกทั้งยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต สร้างรายได้ให้กับชุมชน และช่วยยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันมี Farm Outlet กว่า 56 แห่ง ครอบคลุม 34 จังหวัด ทั่วประเทศ นางสาวญาณี กล่าวต่อว่า สำหรับงาน Farm Outlet Fair ถือเป็นการต่อยอดที่สำคัญ เพราะได้รวมร้านจำหน่ายสินค้า Farm Outlet จากหลายพื้นที่ทั่วประเทศมาจัดแสดงและจำหน่ายในงาน เพื่อเป็นการขยายช่องทางการตลาดให้กับเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพจากเกษตรกรและชุมชน ซึ่งล้วนผลิตขึ้นจากฝีมือคนไทย โดยล่าสุดงาน Farm Outlet Fair ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างล้นหลาม โดยมียอดขายรวมกว่า 4 ล้านบาท และยังเกิดการเจรจาการค้าถึง 5 คู่ มีมูลค่ากว่า 1.1 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นความสำเร็จที่สะท้อนถึงศักยภาพและคุณภาพของสินค้าไทย และเกษตรกรไทย งานนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ขายสินค้า แต่ยังเป็นเวทีสร้างรายได้และเพิ่มช่องทางการตลาดให้เกษตรกร ยอดขายที่เกิดขึ้นคือกำลังใจสำคัญที่ผลักดันให้ผู้ผลิตพัฒนาสินค้าต่อไป อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต นางสาวญาณีกล่าว เพื่อสานต่อความสำเร็จ DIT ได้จัดงาน Farm Outlet Fair อย่างต่อเนื่อง ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ชั้น G ระหว่างวันที่ 13 17 กันยายน 2568 โดยงานนี้จะรวบรวมสุดยอดสินค้าเกษตรจากทั่วประเทศ เช่น ผักและผลไม้สดตามฤดูกาล ข้าวสารคุณภาพดี ผลิตภัณฑ์แปรรูป และสินค้าออร์แกนิกหลากหลายชนิด นางสาวญาณี กล่าวทิ้งท้ายว่า DIT อยากให้ประชาชนได้รู้จัก Farm Outlet มากขึ้น เพราะนี่ไม่ใช่เพียงร้านค้า แต่เป็นโครงการที่ช่วยให้เกษตรกรไทยมีช่องทางการตลาดที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน และสร้างความภาคภูมิใจในฝีมือคนไทย จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมอุดหนุนสินค้าไทยได้ที่งาน Farm Outlet Fair รวมถึงสนับสนุนสินค้าได้ที่ Farm Outlet ทั่วประเทศ พร้อมติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook : กรมการค้าภายใน DIT หรือเว็บไซต์ www.dit.go.th
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 278/2568 “DIT แจงราคาข้าวโพดแม่แจ่ม พร้อมลุยตรวจเข้มลานรับซื้อพิษณุโลก–เพชรบูรณ์–นครสวรรค์ สั่งใช้เครื่องวัดความชื้นมาตรฐาน-ปิดป้ายราคา” (15 กันยายน 2568)
DIT แจงราคาข้าวโพดแม่แจ่ม พร้อมลุยตรวจเข้มลานรับซื้อพิษณุโลก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สั่งใช้เครื่องวัดความชื้นมาตรฐาน-ปิดป้ายราคา กรมการค้าภายใน (DIT) แจงราคารับซื้อข้าวโพดแม่แจ่มเป็นไปตามประกาศ สั่งการ สพจ.เชียงใหม่ เร่งชี้แจงข้อเท็จจริงแก่ผู้ร้องเรียน พร้อมส่งทีมลงพื้นที่พิษณุโลก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ ตรวจเข้มลานรับซื้อ ย้ำ ใช้เครื่องวัดความชื้นมาตรฐาน และ ปิดป้ายราคารับซื้อ พร้อมเร่งแก้ปัญหาเพื่อให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรมตลอดฤดูกาลข้าวโพด วันที่ 15 กันยายน 2568 นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน (DIT) ได้ติดตามสถานการณ์การรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ อย่างต่อเนื่อง พบว่า ปัจจุบันราคารับซื้อในทุกลานเป็นไปตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ประจำปี 2568/69 โดยข้าวโพดของเกษตรกรที่มีความชื้นเกิน 35% ลานรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 5.50 5.70 บาท ซึ่งหากต้องขนผลผลิตจากพื้นที่บนเขาหรือดอย จะมีการหักเพิ่มเพียง 50 60 สตางค์ เท่านั้น จึงยืนยันว่า ราคาที่เกษตรกรบางส่วนร้องเรียนว่าตกเหลือเพียงกิโลกรัมละ 4 บาทนั้น ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทั้งนี้ จังหวัดเชียงใหม่มีผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รวมประมาณ 200,000 ตัน หรือคิดเป็นเพียง 4% ของผลผลิตทั้งประเทศ และผลผลิตในพื้นที่เชียงใหม่ส่วนใหญ่จะทยอยออกสู่ตลาดในช่วง เดือนตุลาคมเป็นต้นไป ทำให้ปัจจุบันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเชียงใหม่อยู่ในเกณฑ์ราคาที่เหมาะสม นายวิทยากร ย้ำว่า กรมฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มเกษตรกรที่ร้องเรียน และหากพบกรณีที่เกษตรกรไม่ได้รับราคาตามคุณภาพผลผลิต กรมฯ จะเร่งดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม สำหรับกรณีที่มีรายงานว่าเครือข่ายเกษตรกรอำเภอแม่แจ่ม ทั้ง 7 ตำบล ได้แก่ ช่างเคิ่ง ท่าผา แม่นาจร ปางหินฝน บ้านทับ กองแขก และแม่ศึก รวมประมาณ 500 คน จะเดินทางไปยื่นข้อเรียกร้องที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 15 กันยายน 2568 เรื่องราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตกต่ำ กรมฯ ได้รับทราบข้อมูลแล้ว และขอยืนยันว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดูแลและแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรม นายวิทยากร กล่าวต่อว่า DIT ได้ติดตามการรับซื้อของลานและโรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยจากเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน (วันที่ 8 กันยายน 2568) ได้ลงพื้นที่อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก และสั่งเร่งแก้ปัญหาเครื่องวัดความชื้นรุ่น PM450 ซึ่งสามารถวัดได้ไม่เกิน 35% ซึ่งทำให้ไม่สามารถระบุค่าความชื้นที่แท้จริงของข้าวโพดได้ กรมฯ จึงได้นำผู้แทนบริษัทผู้นำเข้าเครื่องวัดความชื้น ลงพื้นที่ตรวจสอบเพิ่มเติมในอำเภอวัดโบสถ์และอำเภอวังทอง โดยบริษัทผู้นำเข้าได้รับทราบข้อจำกัดของเครื่องวัดความชื้นรุ่นดังกล่าว และยืนยันว่าจะเร่งพัฒนาเทคโนโลยีให้รองรับการวัดความชื้นที่สูงกว่า 35% ได้ต่อไป และในส่วนของพื้นที่อำเภออื่นในจังหวัดพิษณุโลก และนครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สำคัญของประเทศ DIT ได้ส่งเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษพร้อมนายตรวจชั่งตวงวัดลงพื้นที่ตรวจสอบการรับซื้ออย่างเคร่งครัด พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปฏิบัติตามกฎหมาย มีการปิดป้ายแสดงราคารับซื้อและใช้เครื่องวัดความชื้นที่ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับผู้ประกอบการ 5 รายที่ไม่ปิดป้ายราคา และตรวจพบการใช้เครื่องวัดความชื้นสิ้นสุดคำรับรองอีก 1 ราย พร้อมมอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขอเน้นย้ำว่า เกษตรกรควรเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมื่อมีความชื้นเหมาะสม เพื่อรักษาคุณภาพและให้ได้ราคาที่เป็นธรรม หากความชื้นสูงเกินไปจะทำให้ราคาถูกหักลดลง พร้อมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการลานรับซื้อปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งการแสดงราคาตามความชื้น การใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน และการออกใบอนุญาตขนย้ายสินค้าเกษตรอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ หากประชาชนพบปัญหาในการซื้อขายสินค้าเกษตร หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้ที่ สายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 277/2568 DIT คว้ารางวัลเลิศรัฐ ระดับดี ปี 2568 ยกระดับบริการ “ระบบขนย้ายสินค้าเกษตรทางอิเล็กทรอนิกส์” ช่วยผู้ประกอบการ–ปกป้องเกษตรกร (12 กันยายน 2568)
DIT คว้ารางวัลเลิศรัฐ ระดับดี ปี 2568 ยกระดับบริการ ระบบขนย้ายสินค้าเกษตรทางอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยผู้ประกอบการ ปกป้องเกษตรกร วันที่ 12 กันยายน 2568 นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน (DIT) กระทรวงพาณิชย์ ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ระดับดี ประจำปี 2568 ประเภทยกระดับการอำนวยความสะดวกในการให้บริการ จากผลงาน ระบบขนย้ายสินค้าเกษตรทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นความสำเร็จในการพัฒนากระบวนการอนุญาตขนย้ายสินค้าเกษตรควบคุมให้รวดเร็ว ทันสมัย และโปร่งใส ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ และปกป้องผลผลิตของเกษตรกรไทย โดยปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และกระเทียม ส่วนหนึ่งมักเกิดจากการลักลอบขนย้ายสินค้าเกษตรด้อยคุณภาพจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา ทำให้ราคาผลผลิตในประเทศเสียหาย ข้อมูลปี 2567 2568 ระบุว่า ระบบขนย้ายสินค้าเกษตรทางอิเล็กทรอนิกส์ มีบทบาทสำคัญในการสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น กระเทียม 81,000 กก. มูลค่ากว่า 6.88 ล้านบาท ข้าว 60,000 กก. มูลค่า 2.31 ล้านบาท และหัวมันสำปะหลัง 281,250 กก. มูลค่า 1.94 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพของระบบในการรักษาเสถียรภาพราคาและคุ้มครองเกษตรกรไทย เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว DIT จึงพัฒนาระบบขนย้ายสินค้าเกษตรทางอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันการลักลอบนำเข้า พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกทางการค้า เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในการประกอบธุรกิจ ช่วยลดภาระต้นทุนค่าใช้จ่าย การติดต่อกับภาครัฐเป็นไปอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และง่ายขึ้น ภายใน 30 นาที ระบบขนย้ายสินค้าเกษตรทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ขั้นตอนการอนุญาตขนย้ายสินค้าเกษตรควบคุม 9 ชนิด รวดเร็ว ใช้งานง่าย และตรวจสอบได้แบบ Real Time ผู้ประกอบการสามารถขออนุญาตผ่านเว็บไซต์ https://transport.dit.go.th/ca ได้ทุกที่ ทุกเวลา ใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัยตามกฎหมาย และเพียง 5 ขั้นตอนก็สามารถดำเนินการได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ลดความล่าช้าและความเสี่ยงที่สินค้าเกษตรจะเสียหาย อธิบดี DIT กล่าว ระบบดังกล่าวยังตอบโจทย์ผู้รับบริการสามารถติดตามการขนย้ายสินค้าเกษตร และสถานะคำขออนุญาตผ่าน Timeline Tracking ทำให้การบริหารการขนส่งโลจิสติกส์ได้รวดเร็ว ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐ ในการตรวจสอบการขนย้ายสินค้าเกษตร สามารถตรวจสอบหนังสืออนุญาตผ่านคิวอาร์โค้ด ลดปัญหาการปลอมแปลงเอกสาร อีกทั้งยังสนับสนุนการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ เช่น ตำรวจ กรมศุลกากร และฝ่ายความมั่นคง เพื่อป้องกันการลักลอบขนย้ายสินค้าเกษตร รางวัลนี้ยืนยันความมุ่งมั่นของกรมการค้าภายใน DIT ในการยกระดับบริการภาครัฐให้ทันสมัย โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการและเกษตรกร โดย DIT จะเดินหน้ายกระดับการอำนวยความสะดวกในการให้บริการ เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรไทย และเร็วๆนี้ จะเปิดตัวแอปพลิเคชันขนย้ายสินค้าเกษตร 9 สินค้า เพื่อเพิ่มช่องทางในการยื่นขออนุญาตผ่าน Mobile application นายวิทยากรกล่าวย้ำ
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 276/2568 “รักแรก รสเนื้อไทย” DIT จัด Pitching เกษตรกรไทย-ผู้ประกอบการ เพิ่มมูลค่าสร้างการรับรู้ ชวน คนไทยเปิดใจบริโภคเนื้อโคไทย (10 กันยายน 2568)
รักแรก รสเนื้อไทย DIT จัด Pitching เกษตรกรไทย-ผู้ประกอบการ เพิ่มมูลค่าสร้างการรับรู้ ชวน คนไทยเปิดใจบริโภคเนื้อโคไทย วันที่ 10 กันยายน 2568 นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจแบบนำเสนอจุดขาย (Pitching) เนื้อโคไทย ณ สยามเจริญนครคาเฟ่ โดยเปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน (DIT) ได้จัดกิจกรรม รณรงค์บริโภคเนื้อโคไทย ภายใต้คอนเซปต์ รักแรก รสเนื้อไทย เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ พร้อมยกระดับภาพลักษณ์และสร้างการรับรู้คุณภาพ เนื้อโคไทย ให้เป็นที่นิยมและเชื่อมั่นของผู้บริโภค นางสาวญาณี กล่าวต่อว่า โดยวันนี้เป็นกิจกรรมจับคู่ธุรกิจรูปแบบ Pitching (การนำเสนอจุดขาย) เป็นไฮไลต์สำคัญของวันนี้ โดยเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อไทยทั้ง 8 กลุ่ม มานำเสนอจุดเด่นของเนื้อคุณภาพต่อผู้ซื้อชั้นนำ 9 กลุ่ม ได้แก่ ร้านจำหน่ายเนื้อ สายการบิน โรงแรม ภัตตาคาร ห้างค้าส่ง ห้างค้าปลีก ผู้ประกอบการจำหน่ายวัตถุดิบอาหาร โรงเรียนสอนทำอาหาร และ Online Platform เพื่อตอกย้ำคุณภาพและสร้างความมั่นใจในรสชาติและคุณสมบัติพิเศษของเนื้อไทย ปัจจุบันเนื้อไทยมีหลายสายพันธุ์ ปริมาณกว่า 1 ล้านตัวทั่วประเทศ กิจกรรมในวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เนื้อไทยที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคผ่านผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารที่หลากหลาย ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้เลี้ยงโคเนื้อสายพันธุ์ต่างๆ ทั่วประเทศได้พัฒนาคุณภาพเนื้อไทยให้เป็นที่ต้องการในปริมาณเพิ่มมากขึ้น ด้านคุณอรรควัฒน์ วิริยะขจรเกียรติ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงโคเนื้อลำตะคอง กล่าวว่า ขอบคุณกรมการค้าภายในที่เปิดโอกาสให้เราได้นำเสนอเนื้อโดยตรงกับผู้ซื้อ ทำให้เกษตรกรได้ราคาที่เหมาะสม คุณภาพเนื้อไทยดีกว่าแน่นอน เพราะเนื้อไทยมีลักษณะเฉพาะในการเลี้ยง ทำให้รสชาติมีความเข้ม กลิ่นหอมชัด รสสัมผัสแน่นนุ่ม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งแตกต่างจากเนื้อนำเข้า เนื่องจากเกษตรกรไทยใช้ ธัญพืชในการเลี้ยง ทำให้ได้เนื้อที่สด และคุณภาพดี อีกทั้งภาครัฐได้เข้ามาช่วยส่งเสริมองค์ความรู้ในด้านตลาด และสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสในการบริโภคเนื้อไทยมากขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างความเข้าใจว่ามีเนื้อไทยคุณภาพดี ขอแค่ครั้งเดียวให้ผู้บริโภคไทยเปิดใจลองเนื้อไทย แล้วท่านจะติดใจ เกษตรกร 8 กลุ่มที่เข้าร่วม Pitching ได้แก่ สหกรณ์โคเนื้อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU Beef) จ.นครปฐม เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนโคเนื้อล้านนาเชียงราย (Lanna Beef) จ.เชียงราย วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงโคเนื้อลำตะคอง (NVK Beef) จ.นครราชสีมา เครือข่ายผู้เลี้ยงโคเนื้อจังหวัดบุรีรัมย์ (Smile Beef) วิสาหกิจชุมชนโคขุนสุรินทร์โกเบครบวงจร จ.สุรินทร์ สหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ จำกัด (Max Beef) จ.นครปฐม พัทลุง เลค บีฟ จ.พัทลุง สิชล เทนเดอร์ แลนด์ จ.นครศรีธรรมราช ผู้ซื้อ 9 กลุ่ม ได้แก่ ร้านจำหน่ายเนื้อ: EURO PREMIUM FOODS, True Beef, Beef Brother, Best Country Beef, Prime Butcher Thai Wagyu, ZB. Zumbeef, ตลาดไท สายการบิน: การบินไทย โรงแรมและภัตตาคาร: Minor International, Marriott International, Asset World Corporation, INNSiDE by Melia Bangkok Sukhumvit, Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit, Anantara and AVANI hotels in Bangkok, ชื่นอารมณ์ เนื้อสยาม, เนื้อแท้, ร้านของคริต, ร้าน Journey Of Meats ห้างค้าส่ง ค้าปลีก: CP Axtra, The Mall, Tops Online Platform: 24 Shopping ผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบอาหาร: Food Project (Siam) โรงเรียนสอนทำอาหาร: Le Cordon Bleu Dusit นอกจากงานในวันนี้ ยังมีกิจกรรมออกบูธจำหน่ายเนื้อโคไทย ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 สิงหาคม 14 กันยายน 2568 ณ เซ็นทรัลพระราม 3, เซ็นทรัลพระราม 9 และเซ็นทรัลปิ่นเกล้า และ Food Truck หน้าตึกแดงบางซื่อ ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลองและเลือกซื้อสินค้าคุณภาพ ทั้ง เนื้อเสียบไม้ เนื้อแดดเดียว เนื้อสเต็ก และสินค้าแช่แข็งจากเกษตรกรโดยตรง นางสาวญาณี กล่าวว่า อยากเชิญชวนผู้บริโภค ให้ลองเปิดใจมาบริโภคเนื้อวัวไทย จากเกษตรกรหลากหลายภูมิภาคของประเทศ ซึ่งสามารถเทียบเท่ากับเนื้อนำเข้าจากต่างประเทศ ลิ้มลองแล้วอร่อยจริง และจากกิจกรรมในวันนี้เชื่อว่าตามร้านอาหารต่างๆ จะมีเนื้อไทยให้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการเปิดใจบริโภคเนื้อโคไทย ไม่เพียงช่วยลดการพึ่งพาเนื้อนำเข้า แต่ยังเป็นการสนับสนุนเกษตรกรไทย สร้างรายได้และความยั่งยืนให้ภาคการเลี้ยงโคเนื้อในประเทศ พร้อมยกระดับเนื้อไทยสู่เวทีสากล
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 275/2568 ‘DIT’ ลงพื้นที่พิษณุโลก ผู้รวบรวมรับซื้อข้าวโพดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ดันราคาขึ้น เกษตรกรมั่นใจขายได้ราคาดี (9 กันยายน 2568)
DIT ลงพื้นที่พิษณุโลก ผู้รวบรวมรับซื้อข้าวโพดตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ดันราคาขึ้น เกษตรกรมั่นใจขายได้ราคาดี อธิบดี DIT ลงพื้นที่ อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ติดตามราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ยืนยันลานรับซื้อปฏิบัติตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ราคาขยับแตะ 6.89 บาท/กก. เกษตรกรพอใจ รัฐช่วยพยุงราคาผลผลิต พร้อมเร่งแก้ปัญหาเครื่องวัดความชื้นให้ได้มาตรฐาน เพื่อความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย วันที่ 8 กันยายน 2568 นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก โดยเปิดเผยว่า วันนี้ DIT ได้นำเจ้าหน้าที่มาลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ณ บริษัท บางระกำเกตุธัญญาค้าพืชผล จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในลานรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง และฤดูกาลนี้เป็นผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งขณะนี้มีการรับซื้ออย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกำหนดราคารับซื้อข้าวโพดในราคาที่หน้าโรงงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ 9.80 บาท/กก. และที่ลานรับซื้อในจังหวัดเพชรบูรณ์และอีก 5 จังหวัดในราคา 7.05 บาท/กก. สำหรับพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก กำหนดราคามาตรฐานข้าวโพดเบอร์ 2 ที่ความชื้นไม่เกิน 30% อยู่ที่ 6.89 บาท/กก. ซึ่งเป็นราคาที่ลานรับซื้อจากเกษตรกรจริง นายวิทยากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันเป็นช่วงปลายฤดูของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่ม โดยจะมีข้าวโพดในพื้นที่ดอนหรือข้าวโพดบนดอยลงมาเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นข่าวดีที่เกษตรกรจะได้รับราคาที่ดี ซึ่งเหมาะสมกับต้นทุนและทำให้เกษตรกรอยู่ได้ โดยจากการพูดคุยในเรื่องของการรับซื้อ ผู้ประกอบการในพื้นที่ได้สะท้อนความเห็นว่า นโยบายดังกล่าวถือเป็นนโยบายที่ดีที่ช่วยพยุงราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ จากที่คาดว่าจะเหลือเพียงราคา 4 5 บาท/กก. ทำให้ปัจจุบันได้มีการขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6 บาท/กก. ขึ้นไป ตามคุณภาพของผลผลิต ซึ่งถือเป็นมาตรการที่มาช่วยเหลือเกษตรกรอย่างแท้จริง โดยการรับซื้อของลานได้ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงอย่างเคร่งครัด และโรงงานในพื้นที่พิษณุโลกก็ได้รับซื้อตามประกาศฯ จริง ตามชั้นคุณภาพ จึงทำให้เกษตรกรในพื้นที่ได้รับราคาที่ดี อย่างไรก็ดี วันนี้เราได้รับฟังปัญหาโดยเฉพาะเรื่องการตรวจวัดความชื้นข้าวโพด โดยเฉพาะในพื้นที่ของอำเภอบางระกำ และบางพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่ม ช่วงนี้ที่มีฝนตกชุกทำให้ข้าวโพดมีความชื้นสูง เมื่อเกษตรกรนำมาขายที่ลาน และใช้เครื่องวัดความชื้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น PM450 ที่ได้รับการรับรองให้ใช้กับสินค้าเกษตรที่มีความชื้นไม่เกิน 35% ทำให้ข้าวโพดที่เกษตรกรนำมาขายมีความชื้นเกินกว่ามาตรฐานของเครื่องวัดความชื้นดังกล่าว จึงไม่สามารถวัดความชื้นข้าวโพดบางส่วนได้ ทำให้ลานรับซื้อข้าวโพดของเกษตรกรไม่สามารถกำหนดราคาตามความชื้นได้ นายวิทยากร กล่าวต่อว่า กรม จึงได้มอบหมายสำนักงานชั่งตวงวัดจังหวัดพิษณุโลกประสานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดให้ผู้นำเข้าเครื่องวัดความชื้นเร่งตรวจทดสอบเครื่องวัดความชื้นรุ่นดังกล่าวโดยเร็วที่สุด และให้กองชั่งตวงวัดส่วนกลางเร่งหารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดความเที่ยงตรงและเป็นธรรมโดยเร็วไปพร้อมกัน และย้ำว่าให้ทุกลานรับซื้อใช้เครื่องวัดความชื้นชนิดที่ได้รับการตรวจรับรองจาก DIT เท่านั้น และห้ามดัดแปลงแก้ไขเครื่องเองทุกกรณี โดย DIT จะจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจเครื่องชั่งมาตรวจสอบให้ท่านทุกลาน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม เป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ ที่มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้ราคาที่เป็นธรรม และสร้างความมั่นคงให้แก่ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนของพื้นที่ปลูกข้าวโพดในพื้นที่ปกติ ขอให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวความชื้นที่เหมาะสมตามประกาศเพื่อจะได้ข้าวโพดที่มีคุณภาพ และเกษตรกรจะได้รับราคาที่ดี ซึ่งเป็นประโยชน์กับเกษตรกรเอง นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 274/2568 “DIT” ขนปุ๋ยถูก–ยาดี ธงเขียว บุกพิษณุโลก ลดสูงสุดกระสอบละ 200 บาท 8–9 ก.ย. นี้ คาดช่วยลดต้นทุนเกษตรกรกว่า 2 ล้านบาท (8 กันยายน 2568)
DIT ขนปุ๋ยถูก ยาดี ธงเขียว บุกพิษณุโลก ลดสูงสุดกระสอบละ 200 บาท 8 9 ก.ย. นี้ คาดช่วยลดต้นทุนเกษตรกรกว่า 2 ล้านบาท กรมการค้าภายใน (DIT) เดินหน้าโครงการ ปุ๋ยถูก ยาดี ต้องที่ธงเขียว ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก ระหว่างวันที่ 8 9 กันยายน 2568 ลดราคาปุ๋ยสูงสุดกระสอบละ 200 บาท และอุปกรณ์เกษตรกว่า 50% ช่วยบรรเทาต้นทุนช่วงเพาะปลูกสินค้าเกษตรไทย เตรียมจัดต่อที่เพชรบุรี 15 16 กันยายนนี้ เพื่อต้นทุนการผลิตและเสริมความมั่นคงด้านปัจจัยการเกษตรให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ วันนี้ (8 กันยายน 2568) ณ สหกรณ์การเกษตรนิคมฯ บางระกำ จำกัด จังหวัดพิษณุโลก นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้เปิดงาน ปุ๋ยถูก ยาดี ต้องที่ธงเขียว จังหวัดพิษณุโลก โดยเปิดเผยว่า วันนี้ DIT ได้นำสินค้าปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช และอุปกรณ์การเกษตร ที่เป็นปัจจัยการผลิตมาจำหน่ายในราคาประหยัด ให้แก่พี่น้องในอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก โดยการจัดงานครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจาก 4 สมาคม ที่เกี่ยวกับการผลิตและการค้าปุ๋ยและยาฯ โดยนำผู้ประกอบการกว่า 24 บริษัท ที่มีปุ๋ยเคมีและเคมีเกษตรคุณภาพดีมาจำหน่ายในราคาพิเศษ โดยปุ๋ยเคมีหลายสูตรได้รับการลดราคาสูงสุดถึงกระสอบละ 200 บาท อาทิ ปุ๋ยนกปากห่าง สูตร 30-0-0 จากราคาปกติ 735 บาท เหลือ 535 บาท ปุ๋ยดาวลูกโลก สูตร 30-0-0 จาก 750 บาท เหลือ 550 บาท ปุ๋ยกระต่าย สูตร 16-8-8 จาก 810 บาท เหลือ 610 บาท ปุ๋ยหัววัว-คันไถ สูตร 18-8-8 จาก 815 บาท เหลือ 615 บาท และสูตร 16-8-8 จาก 810 บาท เหลือ 610 บาท ปุ๋ยดาวลูกโลก สูตร 16-8-8 จาก 800 บาท เหลือ 600 บาท และปุ๋ยรุ่งอรุณ สูตร 16-8-8 จาก 790 บาท เหลือ 590 บาท เป็นต้น นอกจากปุ๋ยเคมีแล้ว ภายในงานยังมียาป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ลดราคาสูงสุดถึง 50% อุปกรณ์การเกษตรลดราคาสูงสุด 55% รวมทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ ไข่ไก่ น้ำมันพืช มาจำหน่ายในราคาถูกกว่าท้องตลาดด้วย โดยนอกจากได้ซื้อสินค้าราคาถูกแล้ว เกษตรกรยังได้รับคูปองส่วนลด 50 บาทสำหรับซื้อเคมีเกษตรภายในงานอีกด้วย นายวิทยากร กล่าวต่อว่า ช่วงนี้ถือเป็นฤดูกาลเพาะปลูกสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ถั่งเหลือง เป็นต้น โดยการสนับสนุนปุ๋ยและปัจจัยการผลิตในราคาย่อมเยาจะทำให้พี่น้องเกษตรได้ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก และทำให้สินค้าเกษตรมีคุณภาพดีขึ้นด้วย DIT คาดว่าการจัดกิจกรรมครั้งนี้จะช่วยให้เกษตรกรในจังหวัดพิษณุโลกและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าถึงปุ๋ย ยา และอุปกรณ์การเกษตรคุณภาพดีในราคาย่อมเยา ลดต้นทุนการผลิตได้รวมหลายล้านบาท สอดคล้องกับนโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย ของ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งเสริมศักยภาพการผลิตภายในประเทศและช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทยด้วยกัน นายวิทยากร กล่าวเพิ่มเติมว่า DIT ได้จัดกิจกรรม ปุ๋ยถูก ยาดี ต้องที่ธงเขียว ไปแล้ว 3 ครั้ง และมีแผนจัดต่ออีก 12 ครั้งทั่วประเทศ โดยพื้นที่ถัดไปคือจังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ 16-17 กันยายน 2568 ณ สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรในพื้นที่และใกล้เคียงได้ และหากพี่น้องเกษตรกรพื้นที่ใดต้องการให้ DIT นำสินค้าไปจำหน่าย ท่านสามารถแจ้งความประสงค์ไปยังสหกรณ์การเกษตรในจังหวัดท่าน เพื่อประสานมายัง DIT และท่านสามารถติดตามกิจกรรมของกรมได้ทางเพจเฟสบุ๊ค กรมการค้าภายใน DIT ได้
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 273/2568 “DIT” ลุยตรวจเข้มราคาสินค้าไหว้สารทจีน 2568 ชี้ราคาส่วนใหญ่ทรงตัว สินค้าเพียงพอ ย้ำผู้ค้าต้องติดป้ายราคาให้ชัดเจน (5 กันยายน 2568)
DIT ลุยตรวจเข้มราคาสินค้าไหว้สารทจีน 2568 ชี้ราคาส่วนใหญ่ทรงตัว สินค้าเพียงพอ ย้ำผู้ค้าต้องติดป้ายราคาให้ชัดเจน นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลสารทจีนปี 2568 ในวันนี้ (5 ก.ย.68) กรมการค้าภายใน (DIT) กระทรวงพาณิชย์ จึงได้จัดสายตรวจเฉพาะกิจลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การจำหน่ายสินค้าเครื่องสักการะและของไหว้ในย่านการค้าสำคัญ ณ ตลาดเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค เนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลมีจำนวนมากสำหรับประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยจากการตรวจสอบพบว่า สถานการณ์ราคาสินค้าโดยรวมยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่น ไก่ต้มทั้งตัว (ไก่บ้าน) และเป็ดพะโล้ ตัวละ 500 บาท หมูสามชั้น (บะแซ) ราคา 250 บาท/ชิ้น หมี่ซั่ว ตรานกนางแอ่น (ขนาด 400 กรัม/ถุง) ราคา 30 บาท เห็ดหอมจีน (ขนาดกลาง) ราคา 400 บาท/กก. กะหล่ำปลี ราคา 40 บาท/กก. ผักคะน้า ราคา 50 บาท/กก. กล้วยหอม ราคา 120 บาท/หวี ส้มสายน้ำผึ้ง ราคา 150 บาท/กก. องุ่นแดง (มีเมล็ด) ราคา 200 บาท/กก. ขนมเข่ง ราคา 35 บาท/คู่ ขนมเทียน ราคา 10 บาท/ชิ้น เครื่องไหว้ กระดาษเงินกระดาษทอง (ชุดกลาง) ราคา 25 บาท/ชุด ธูปห่อเล็ก ราคา 15 บาท/ห่อ เทียนขาไม้ (เล็ก) ราคา 6 บาท และสินค้าบางรายการมีราคาปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เช่น เนื้อสุกรชำแหละ เนื้อแดง ปัจจุบันราคา 170 บาท/กก. (ปีก่อน 180 บาท/กก.) สามชั้น ปัจจุบันราคา 220 บาท/กก. (ปีก่อน 240 บาท/กก.) และแอปเปิ้ลฟูจิ ปัจจุบัน 20 บาท/ลูก (ปีก่อน 50 บาท/ลูก) ด้านปริมาณสินค้ามีเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งผู้ประกอบการแจ้งว่าสินค้าบางรายการมีต้นทุนปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังคงจำหน่ายราคาเดิม รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่และสั่งการให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศออกตรวจสอบเน้นย้ำผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 68 พ.ศ. 2568 เรื่องการแสดงราคาสินค้าและค่าบริการให้ถูกต้องและชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาได้ หากฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 28 มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งนี้ หากผู้บริโภคพบการเอารัดเอาเปรียบหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569 หรือ Line@MR.DIT หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 272/2568 DIT จัดงาน “Farm Outlet Fair” รวมสินค้าเกษตรสดใหม่ ส่งตรงจากชุมชน (5 กันยายน 2568)
DIT จัดงาน Farm Outlet Fair รวมสินค้าเกษตรสดใหม่ ส่งตรงจากชุมชน DIT กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เชิญชวนประชาชนร่วมอุดหนุนสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศ ในงาน Farm Outlet Fair ที่จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรในเครือข่าย DIT นำผลผลิตและสินค้าคุณภาพตรงจากสวนและชุมชน มาจำหน่ายในราคาที่เป็นธรรม พร้อมสร้างทางเลือกใหม่ในการจับจ่ายของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านและครอบครัวที่ใส่ใจสุขภาพ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดี DIT เปิดเผยว่า งานครั้งนี้เป็นกิจกรรมที่กรมฯ จัดขึ้นร่วมกับภาคีเครือข่าย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงผลผลิตเกษตรคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร ผลไม้ ผักสดปลอดสาร รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากวิสาหกิจชุมชนกว่า 500 รายการ จาก 30 ร้านค้า โดยเป็นสินค้าที่คัดสรรจากแหล่งผลิตที่มาจากศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน หรือ Farm Outlet ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป และงานหัตถกรรมของชุมชนที่ DIT ส่งเสริมพัฒนา มากว่า 15 ปี ปัจจุบันมี 56 แห่ง ใน 34 จังหวัดทั่วประเทศ ที่สำคัญงานนี้ได้เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรผู้ปลูกผลไม้นำผลไม้มาจำหน่ายเองด้วย เช่น ลำไยสดเกรดพรีเมียมจากจันทบุรี เพียงตะกร้า 3 กก. ราคา 100 บาท มะพร้าวน้ำหอมจากราชบุรี ลูกละ 15 บาท ฝรั่งไส้แดงจากราชบุรี ส้มโอจากนครนายกและสมุทรสงคราม และอโวคาโดจากเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมีกุ้ง ทั้งกุ้งสดแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์กุ้งแปรรูป จากเกษตรกร จ.สมุทรสาคร งานนี้ไม่เพียงเหมาะสำหรับคุณพ่อบ้านคุณแม่บ้านหรือผู้ที่รักการทำอาหาร แต่ยังเหมาะกับผู้ที่มองหาของฝาก ของดีประจำท้องถิ่น และผู้รักสุขภาพที่ต้องการเลือกสินค้าปลอดภัยมาบริโภคในชีวิตประจำวัน งาน Farm Outlet Fair ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่จับจ่ายใช้สอย แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยตรง ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าสินค้าที่นำมาจำหน่ายเป็นผลผลิตที่ใส่ใจคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงมือผู้บริโภค อีกทั้งยังได้ราคาที่คุ้มค่าเพราะไม่มีพ่อค้าคนกลาง นอกจากนี้สอดรับกับ นโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย ของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งสนับสนุนการบริโภคสินค้าไทยและส่งเสริมให้ประชาชนเลือกใช้สินค้าจากเกษตรกรและผู้ประกอบการชุมชน เพื่อช่วยสร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก นายวิทยากร กล่าว อธิบดี กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดหวังว่างาน Farm Outlet Fair จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยสร้างการรับรู้ถึงคุณภาพของสินค้าเกษตรไทย และช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดแก่เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงการผลิตสู่การบริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ งาน Farm Outlet Fair จัดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกที่ เซ็นทรัลเวสต์เกต ชั้น 1 ระหว่างวันที่ 3 9 กันยายน 2568 และต่อด้วยที่ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น G ระหว่างวันที่ 13 17 กันยายน 2568 เปิดให้เข้าชมและเลือกซื้อสินค้าตั้งแต่เวลา 10.00 21.00 น. ของทุกวัน นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากเชิญชวนประชาชนทุกท่าน โดยเฉพาะแม่บ้านและครอบครัว มาร่วมเลือกซื้อสินค้าคุณภาพดีในงาน Farm Outlet Fair ได้ทั้งของดีไปใช้ในครัวเรือน และยังได้มีส่วนร่วม ช่วยเกษตรกรไทยให้มีกำลังใจในการผลิตสินค้าคุณภาพดีต่อไป
ดูเพิ่มเติม
Dit Logo New (2)

กรมการค้าภายใน ขอส่งแรงใจให้ทหารแนวหน้าที่กำลังปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทย และพี่น้องชาวไทย ขอให้ปลอดภัย

สอบถามข้อมูล

arrow-down

DIT Chat Service ยินดีให้บริการ

maximize
สอบถามข้อมูลเพิมเติมกับเจ้าหน้าที่ (Admin)

บริการของกรมการค้าภายใน

7422635f-7946-4705-88ec-05d965bd7b40

การขออนุญาตประกอบการค้า

862c658c-96a2-4f51-87cb-7ae89028e48a

สอบถามราคาสินค้าเกษตร

e776ba32-103f-4917-b746-5333af42cf9d

รวบรวมกิจกรรมกรมการค้าภายใน

3e6fa301-b225-4427-b882-4d78e453a2ed

การเดินทางมายังกรมการค้าภายใน

เลขที 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000

โทรศัพท์ 0-2507-5530

โทรสาร: 0-257-5361

E-mail: Saraban@dit.go.th

Call Center: 1569 ร้องเรียน/เสนอแนะ