ข่าวเลขที่ 247/2568 “สุชาติ” เผย นบข.เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บ. ทั้งนาปรัง นาปี เพิ่มโควตาส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยุโรป พร้อมตั้งทีมแก้ปัญหาพันธุ์ข้าวระยะยาว (14 สิงหาคม 2568)
สุชาติ เผย นบข.เคาะช่วยชาวนาไร่ละ 1,000 บ. ทั้งนาปรัง นาปี เพิ่มโควตาส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยุโรป พร้อมตั้งทีมแก้ปัญหาพันธุ์ข้าวระยะยาว วันที่ 13 สิงหาคม 2568 ห้องประชุมใหญ่ อาคาร 150 ปี กระทรวงการคลัง นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ได้มอบหมายให้ตนเข้าประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ปี 2568/69 โดยคาดว่าราคาข้าวโลก ปีการผลิต 68/69 จะถูกกดดันจากสต็อกข้าวอินเดียที่เพิ่มขึ้น มากกว่าที่คาดการณ์ การระงับการนำเข้าข้าว 2 เดือนของฟิลิปปินส์ การชะลอนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ของอินโดนีเซีย แต่ยังมีปัจจัยบวกช่วยหนุนราคาข้าว เช่น ผลผลิตข้าวในเวียดนาม และฟิลิปปินส์ที่ได้ผลกระทบจากพายุวิภา เวียดนามประกาศเริ่มเก็บ VAT 5% กับสินค้าข้าวเพื่อการส่งออกตั้งแต่ 1 ก.ค. 68 เป็นต้นไป ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะมีผลต่อราคาข้าวตลาดโลกในระยะข้างหน้า เราจึงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกอย่างใกล้ชิด นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ที่ประชุม นบข. พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปีการผลิต 2568 เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากราคาข้าวตกต่ำจากภาวะตลาดโลก ช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง วงเงินสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน จ่ายตรงเข้าบัญชีเกษตรกร โดยจะช่วยเหลือเป็นการเฉพาะนาปรังปี 68 เท่านั้น สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 นบข.เคาะช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท วงเงินสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน จ่ายตรงเข้าบัญชีเกษตรกร ซึ่งนบข.ได้มอบให้กรมการข้าวและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปโดยเร็วที่สุด ด้านนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ในฐานะตัวแทนเกษตรกรชาวนา กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะกรรมการ นบข. ท่านประธานและกรรมการทุกท่านในวันนี้ ที่ได้ลงมติช่วยเหลือพี่น้องชาวนาทั้งนาปรัง และนาปี ไร่ละ 1000 บาท ที่ผ่านมาชาวนาเดือดร้อนจากราคาข้าว 5,500 -6,000 บาท/ตัน แต่ต้นทุนการผลิต 6,500 - 7,000 บาท/ตัน การอนุมัติของ นบข.จะช่วยพี่น้องชาวนาที่รอโครงการ กว่า 850,000 ราย ผมขอบคุณแทนพี่น้องชาวนาทั่วประเทศ ด้านการส่งออกข้าว นายสุชาติ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังสหภาพยุโรปของโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร สำหรับปี 2569 2571 ของกรมการข้าว เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนผู้ประกอบการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จะจัดสรรโควตาการส่งข้าวไปสหภาพยุโรป สำหรับปี 2569 2571 ปริมาณ 1,700 ตันต่อปี นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าว ให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นเหมาะสมกับพื้นที่เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ และพันธุ์ข้าวต้องมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร จึงได้ให้ตั้งคณะทำงานประกอบด้วยหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งด้านการผลิต และการตลาด พิจารณาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและเพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพข้าวไม่ได้มาตรฐานซึ่งส่งผลต่อราคาขาย และให้รายงาน นบข.ให้ทราบในครั้งต่อไป รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อเสนอและเสียงสะท้อนจากเกษตรกร รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในสินค้าข้าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาปรับปรุงมาตรการให้ตรงกับความต้องการจริงในพื้นที่ ทั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และวางรากฐานการแก้ไขปัญหาการผลิตและการตลาดข้าวอย่างยั่งยืนในระยะยาว นายสุชาติ กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 246/2568 “จตุพร” ย้ำเดินหน้าช่วยเกษตรกร ลดต้นทุนผ่านโครงการ “ธงเขียว” เพิ่มช่องทางตลาดลำไย พร้อมเสนอมาตรการช่วยเหลือชาวนา 13 ส.ค. นี้ (11 สิงหาคม 2568)
จตุพร ย้ำเดินหน้าช่วยเกษตรกร ลดต้นทุนผ่านโครงการ ธงเขียว เพิ่มช่องทางตลาดลำไย พร้อมเสนอมาตรการช่วยเหลือชาวนา 13 ส.ค. นี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยเฉพาะสินค้าผลไม้ ลำไยภาคเหนือ ที่มีปัญหาราคาสินค้าตกต่ำ เนื่องจากผลผลิตออกเยอะ โดยเฉพาะ ลำไยพันธุ์อีดอ ซึ่งส่วนใหญ่นำไปแปรรูปโดยการอบแห้งเพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ แต่สำหรับลำไยสดที่นำมาขายในประเทศจะเป็นลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียวซึ่งมีปริมาณไม่มากนัก ทำให้ราคาขายปลีกในประเทศอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 60 บาท ในขณะที่ลำไยพันธุ์อีดอ ผลผลิตออกพร้อมในช่วงเดียวกัน จึงเกิดการกระจุกตัวเนื่องจากโรงงานแปรรูปมีจำกัดประกอบกับกระบวนการอบแห้งที่ต้องใช้เวลา กรมการค้าภายในจึงได้ประสานโรงอบผ่านสมาคมผู้ผลิตลำไยอบแห้งภาคเหนือ 7 จังหวัด ให้เพิ่มปริมาณการรับซื้อลำไยสด จึงทำให้ขณะนี้ราคารับซื้อลำไยสดขยับขึ้นเป็น 11.50 บาทแล้ว กรมการค้าภายในได้เร่งมาตรการกระจายลำไยออกนอกแหล่งผลิต ผ่านกลไกต่างๆ อาทิ จัดกิจกรรม ลำไย-ปันสุข ร่วมกับพันธมิตร ซีพีแอ็กตร้าโดยรับซื้อลำไยจากเกษตรกรกว่า 1,000 ตัน จำหน่ายผ่านแม็คโครและโลตัสกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ และยังมีการเชื่อมโยงกระจายลำไยไปยังตลาดภายในประเทศ ผ่านกิจกรรม Thai Fruits Festival เพื่อส่งเสริมการบริโภคลำไยในประเทศ โดยการนำลำไยภาคเหนือลงสู่ภาคอื่นๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสามารถระบายผลผลิตออกจากภาคเหนือได้ปริมาณเยอะ โดยกิจกรรมทั้งหมดนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นช่วงต้นฤดูกาลลำไย นอกจากนี้ กรมการค้าภายในได้มีแผนบริหารจัดการใหม่ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางกระจายลำไย อาทิ มอบเป็นของสมนาคุณโดยร่วมกับสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ กิจกรรมธงฟ้าที่จัดในชุมชนต่าง ๆ รวมถึงช่องทางจำหน่ายผ่านตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ตู้เต่าบิน และสายการบินแอร์เอเชีย ที่เป็นช่องทางนวัตกรรมใหม่สำหรับลำไย ด้านการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งผลักดันการส่งออกลำไยไปตลาดใหม่ ๆ เช่น อินเดียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่มด้วย นายจตุพร กล่าวเพิ่มว่า ในส่วนของสินค้าข้าว โดยจากการลงพื้นที่อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับฟังปัญหาและพูดคุยกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้แจ้งกับพี่น้องเกษตรกรไปว่ากระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในได้เตรียมเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ปลูกข้าว เพื่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาโดยด่วน ในวันที่ 13 สิงหาคมนี้ โดยมีโครงการสำคัญ อาทิ การสนับสนุนและส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 โครงการประกันภัยข้าวนาปี รวมถึงมาตรการชดเชยไร่ละ 1,000 บาท สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ซึ่งคาดว่าจะสรุปผลในการประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ กระทรวงยังเร่งเจรจาขยายตลาดส่งออกข้าวกับจีน ซาอุดีอาระเบีย และญี่ปุ่น เพื่อช่วยดันราคาข้าวให้สูงขึ้น นายจตุพร กล่าวเพิ่มว่า อีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกร คือ โครงการ ธงเขียวราคาประหยัด ของกรมการค้าภายใน (DIT) ที่เน้นช่วยลดต้นทุนการผลิตผ่านการจัดจำหน่ายปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงคุณภาพสูงในราคาประหยัดกว่าท้องตลาด โดยมีปุ๋ยเคมี 6 สูตรจำหน่ายในราคากระสอบละ 200 บาท ลดลงจากราคาปกติอย่างน้อย 200 บาทต่อกระสอบ พร้อมยาฆ่าแมลง (ยาดี) ที่จำหน่ายในราคาลดสูงสุดถึง 60% เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร โดยมีแผนขยายโครงการครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตามนโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย กระทรวงฯ จะใช้โครงการ ธงเขียว เป็นกลไกสำคัญในการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และดูแลให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าเกษตรราคายุติธรรมอย่างทั่วถึง กระทรวงพาณิชย์ขอย้ำว่า จะเดินหน้าทุกมาตรการ ทั้งการดูแลราคาสินค้าเกษตรในประเทศ การเชื่อมโยงตลาด และการเพิ่มช่องทางจำหน่าย เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกรและเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ตามนโยบาย พาณิชย์พึ่งได้ นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 245/2568 ‘จตุพร’ ลงพื้นที่ 3 จังหวัด ดูแลราคาสินค้า-ลดต้นทุนเกษตรกร-แก้ปัญหาราคาข้าว (10 สิงหาคม 2568)
จตุพร ลงพื้นที่ 3 จังหวัด ดูแลราคาสินค้า-ลดต้นทุนเกษตรกร-แก้ปัญหาราคาข้าว (9 ส.ค. 68) นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิจิตร และจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อ ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รับฟังปัญหาเกษตรกร และหารือกับผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการผลิตและการจำหน่ายข้าว อีกทั้งยังได้ประชาสัมพันธ์โครงการ ธงเขียว ซึ่งถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดต้นทุนภาคการเกษตร ภารกิจแรก นายจตุพรได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมตลาดเทศบาล 1 (ตลาดใต้) อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยพบว่าราคาสินค้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เช่น หมูเนื้อแดงกิโลกรัมละ 160 180 บาท สามชั้นกิโลกรัมละ 180 200 บาท อกไก่และสะโพกไก่กิโลกรัมละ 90 100 บาท ไข่ไก่เบอร์ 0 แผงละ 150 บาท และเบอร์ 4 แผงละ 110 บาท เป็นต้น พบว่าบรรยากาศการค้าคึกคัก ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือรักษาระดับราคาและคุณภาพสินค้าอย่างดี นายจตุพรกล่าว พร้อมย้ำว่าการควบคุมราคาสินค้าอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ประชาชนสามารถจับจ่ายได้ตามปกติ นายจตุพรกล่าว นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ยังได้ร่วมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก โดยระบุว่า กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายใน (DIT) ได้นำโครงการ ธงฟ้าราคาประหยัด ลงพื้นที่เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ พร้อมทั้งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากอุทกภัย ผ่านการจำหน่ายสินค้าจำเป็น เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำตาล ไข่ไก่ และข้าวสาร ในราคาพิเศษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว ยังได้ประชาสัมพันธ์โครงการใหม่ ธงเขียว ที่มุ่งลดต้นทุนให้เกษตรกรด้วยการจำหน่ายปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในราคาถูกกว่าท้องตลาด เช่น ปุ๋ยลดราคากว่า 200 บาทต่อกระสอบ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของเกษตรกรไทยในระยะยาว จากนั้น นายจตุพรและคณะได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดพิจิตร เพื่อตรวจเยี่ยมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ส้มโอ พร้อมพบปะเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ โดยได้เผยแพร่มาตรการสนับสนุนด้านการผลิตและการตลาด เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงแก่ชุมชน ในระหว่างการพูดคุย นายจตุพรได้เน้นย้ำให้เกษตรกรติดตามโครงการ ธงเขียว ที่จะเดินหน้าลดต้นทุนการผลิต พร้อมทั้งยินดีช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย ภารกิจสุดท้ายของการลงพื้นที่ครั้งนี้ คือการเดินทางไปยังอำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อหารือกับผู้ประกอบการค้าข้าวและโรงสี เกี่ยวกับสถานการณ์ราคาข้าวที่ตกต่ำเหลือเพียง 5,000 6,000 บาทต่อเกวียน ขณะที่ต้นทุนการผลิตยังสูง เกษตรกรจึงเรียกร้องให้ราคาข้าวปรับขึ้นเป็น 8,000 บาทต่อเกวียน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและความมั่นคงในอาชีพ นายจตุพรเปิดเผยว่า การประชุมกับโรงสีนครสวรรค์มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการรับซื้อ เช่น การพิจารณาความชื้น ปริมาณ และคุณภาพข้าว ซึ่งต้องดำเนินควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจปัญหาของเกษตรกร ทั้งนี้ การแก้ปัญหาราคาข้าวต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ โดยในส่วนแรก กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้า ลดต้นทุนการผลิตภาคเกษตรผ่านโครงการ ธงเขียว พร้อมประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯ เพื่อพัฒนา ศักยภาพการผลิต ให้แข่งขันได้กับข้าวต่างประเทศ นอกจากมาตรการลดต้นทุนแล้ว ส่วนที่สอง กระทรวงพาณิชย์ยังได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศเร่งเจรจาหาตลาดส่งออกเพิ่ม ทั้งในจีน ซาอุดีอาระเบีย และญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มปริมาณการขายและสร้างเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาว สำหรับประเด็นมาตรการชดเชยให้ชาวนา นายจตุพรได้ตอบคำถามสื่อมวลชนว่า รัฐบาลมีแนวทางจ่ายชดเชยให้ชาวนาผู้ปลูกข้าวนาปรังในอัตราไร่ละ 1,000 บาท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) วันที่ 13 ส.ค.นี้
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 244/2568 DIT X พาณิชย์จังหวัดชลบุรี จัดงาน “เทศกาลกินกุ้งชล” พร้อมเดินหน้ากระจายไข่ไก่สดทั่วประเทศ สนับสนุนเกษตรกร-ลดค่าครองชีพประชาชน (8 สิงหาคม 2568)
DIT X พาณิชย์จังหวัดชลบุรี จัดงาน เทศกาลกินกุ้งชล พร้อมเดินหน้ากระจายไข่ไก่สดทั่วประเทศ สนับสนุนเกษตรกร-ลดค่าครองชีพประชาชน กรมการค้าภายใน DIT เดินหน้าสร้างสมดุลในระบบการตลาดสินค้าเกษตร จัดกิจกรรม เทศกาลกินกุ้งชล รณรงค์บริโภคกุ้งภายในประเทศ สนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง พร้อมผนึกกำลังสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เชื่อมโยงตลาดไข่ไก่จากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ในราคาย่อมเยา เพื่อบรรเทาค่าครองชีพประชาชน นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการบริโภคและเพิ่มศักยภาพการตลาดสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จัด กิจกรรมรณรงค์การบริโภคกุ้งภายในประเทศ ภายใต้ โครงการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันสินค้าประมง ปี 2568 เพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งให้มีช่องทางจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น และสร้างการรับรู้ให้ผู้บริโภคเข้าถึงกุ้งคุณภาพในราคาที่เป็นธรรม ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวสอดรับกับนโยบายของ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่เน้นการดูแลค่าครองชีพประชาชน ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะกุ้งซึ่งเป็นสินค้าหลักที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนตลาดภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพ กรมการค้าภายในได้กำหนดจัดกิจกรรมรณรงค์การบริโภคกุ้งใน 22 จังหวัด ทั้งในและนอกแหล่งผลิต โดยมอบหมายให้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด เป็นผู้รับผิดชอบการจัดงาน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม กันยายน 2568 คาดว่าจะสามารถเชื่อมโยงและกระจายผลผลิตจากเกษตรกรได้ไม่น้อยกว่า 154,000 กิโลกรัม ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ณ ลานกิจกรรมศูนย์การค้าเซ็นทรัลชลบุรี จังหวัดชลบุรี สำนักงานพาณิชย์จังหวัดชลบุรี ได้จัดงาน เทศกาลกินกุ้งชล ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 10 สิงหาคม 2568 ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และส่งเสริมความเข้มแข็งของตลาดสินค้าเกษตรภายในประเทศเพื่อส่งเสริมการบริโภคกุ้งในประเทศ และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการสินค้าประมงและชุมชนในพื้นที่ ภายในงานมีกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิ การจัดแสดงและจำหน่ายสินค้ากุ้งสด กุ้งแปรรูป สินค้าประมงคุณภาพ รวมถึงสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์จากชุมชน พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น กิจกรรมตักกุ้ง และ การแข่งขันแกะ-กิน-กุ้ง ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างคึกคัก สร้างบรรยากาศการบริโภคภายในประเทศให้มีชีวิตชีวา และช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรในพื้นที่โดยตรง นอกจากนี้ กรมการค้าภายใน ยังได้ร่วมมือกับ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด (สพจ.) ทั้ง 76 จังหวัด ในการดำเนินโครงการเชื่อมโยงตลาดไข่ไก่ โดยนำไข่ไก่สดคุณภาพดีในราคาย่อมเยา จากเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่มาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายให้เกษตรกร และลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน โดยกรมการค้าภายในได้ประสานงานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเชื่อมโยงผู้เลี้ยงไก่ไข่ หรือกลุ่มองค์กรผู้เลี้ยงไก่ไข่ในพื้นที่ ให้นำไข่ไก่ขนาดเบอร์ 2-4 มาจำหน่ายในจุดกระจายสินค้าต่างๆ ทั่วประเทศ โดยตรงถึงมือผู้บริโภค โครงการนี้มีเป้าหมายดำเนินการให้ครอบคลุมทุกจังหวัด โดยกำหนดให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดดำเนินการเชื่อมโยงการจำหน่ายไม่น้อยกว่า 1,200 แผง หรือ 36,000 ฟองต่อจังหวัด รวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 2,736,000 ฟองทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 21 กรกฎาคม 8 สิงหาคม 2568 จากการติดตามสถานการณ์การผลิตและภาวะการค้าไข่ไก่อย่างใกล้ชิด รวมถึงหารือร่วมกับ กรมปศุสัตว์ และองค์กรผู้เลี้ยงไก่ไข่ พบว่า ปัจจุบันมีไข่ไก่ออกสู่ตลาดประมาณ 45.46 ล้านฟอง/วัน ขณะที่ความต้องการบริโภคอยู่ที่ 43.14 ล้านฟอง/วัน จึงยังมีปริมาณส่วนเกินที่ต้องได้รับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ นางสาวญาณี กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการค้าภายในขอเชิญชวนประชาชนร่วมสนับสนุนสินค้าเกษตรจากเกษตรกรไทย ทั้งกุ้งและไข่ไก่ ผ่านจุดจำหน่ายต่าง ๆ ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดกำหนดทั่วประเทศ ซึ่งสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง เว็บไซต์กรมการค้าภายใน www.dit.go.th หรือ Facebook กรมการค้าภายใน DIT
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 243/2568 “พาณิชย์”จับมือซีพี แอ็กซ์ตร้า รับซื้อลำไย 1,000 ตัน นำขายผ่านแม็คโคร-โลตัส 2,600 สาขา (6 สิงหาคม 2568)
พาณิชย์ จับมือซีพี แอ็กซ์ตร้า รับซื้อลำไย 1,000 ตัน นำขายผ่านแม็คโคร-โลตัส 2,600 สาขา กรมการค้าภายในติดตามการจำหน่ายลำไย ภายใต้โครงการ Thai Fruits Festival 2025 หลังประสานหอการค้าไทยและซีพี แอ็กซ์ตร้า เข้ารับซื้อลำไยจากเกษตรกร 1,000 ตัน นำจำหน่ายผ่านเครือข่ายแม็คโครและโลตัสกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และช่วยผู้บริโภคหาซื้อลำไยได้ง่ายใกล้บ้าน ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนช่วยกันซื้อ ช่วยกันบริโภค ด้านซีพี แอ็กซ์ตร้า ประกาศนำเงินจากยอดขายกิโลกรัมละ 1 บาท สนับสนุนอาหารกลางวันโรงเรียนในแหล่งปลูกลำไย นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ให้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการกระจายผลไม้ ณ ห้างแม็คโคร สาขาแจ้งวัฒนะ ภายใต้โครงการ Thai Fruits Festival 2025 ตามนโยบายนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้เร่งมาตรการดูแลผลไม้ โดยเฉพาะลำไยที่กำลังออกสู่ตลาด โดยกรมได้ร่วมมือกับหอการค้าไทย และบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) จัดทำโครงการลำไย-ปันสุข รับซื้อลำไยจากเกษตรกรมาจำหน่ายผ่านเครือข่ายแม็คโครและโลตัสจำนวน 1,000 ตัน มาจำหน่ายผ่านสาขาที่มีอยู่กว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ สำหรับการจำหน่ายลำไยในครั้งนี้ ซีพี แอ็กซ์ตร้า ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยจำหน่ายลำไย มัดปุกราคากิโลกรัม (กก.) 59 บาท จากปกติ 69 บาท และแบบกล่องกิโลกรัมละ 55 บาท จากปกติ 69 บาท เพื่อช่วยระบายผลผลิตให้กับเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด และช่วยให้ผู้บริโภคมีช่องทางในการซื้อลำไยไปบริโภค จึงขอเชิญชวนให้ช่วยการซื้อ ช่วยกันบริโภค เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร นายกรนิจกล่าวว่า กรมยังมีมาตรการดูแลผลผลิตลำไยรูดร่วง โดยได้ประสานผู้ประกอบการโรงอบลำไย ในการเข้ารับซื้อจากเกษตรกรต่อเนื่อง พร้อมเปิดจุดรับซื้อเพิ่มในพื้นที่ ๆ มีจุดร่อนลำไยไม่เพียงพอ โดยที่ผ่านมา ได้ประสานผู้ประกอบการทั้งโรงอบและจุดร่อนเข้ารับซื้อโดยตรงจากเกษตรกร ในพื้นที่อำเภอสันป่าตอง อำเภอจอมทอง อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอลี้ อำเภอป่าซาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน อำเภอพาน อำเภอเทิง อำเภอป่าแดด อำเภอพญาเม็งราย อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย และอำเภอจุน อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา นอกจากนี้ กรมยังได้มีการจัดตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ลำไยในช่วงที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาด ตามข้อสั่งการของนายสุชาติ หากพื้นที่ใด มีปัญหาด้านผลผลิตล้นตลาด หรือมีปัญหาด้านราคา ก็จะเข้าไปช่วยเหลือดูแลทันที และยังอยู่ระหว่างการขับเคลื่อน 8 มาตรการเชิงรุก เพื่อช่วยระบายผลผลิตลำไยออกจากแหล่งผลิต ทั้งการเชื่อมโยงลำไยสดเพื่อส่งออก การกระจายผ่านเครือข่ายพันธมิตร การสนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์ไปรษณีย์ให้กับเกษตรกรใช้บรรจุลำไย การจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคผลไม้ Thai Fruits Festival 2025 การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) โดยดึงผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาช่วยซื้อ การเชื่อมโยงขายในปั๊มน้ำมัน และช่องทางใหม่ ขายผ่านตู้เต่าบิน และแอร์เอเชีย สำหรับปี 2568 ผลผลิตลำไยภาคเหนือ คาดว่า จะมีปริมาณ 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 21.36% โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย โดยขณะนี้ผลผลิตได้ออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 40% และเริ่มออกสู่ตลาดมากในช่วงต้นเดือน ส.ค.2568 คาดว่าผลผลิตจะเริ่มลดลงหลังวันที่ 15 ส.ค.2568 เป็นต้นไป นายสมนึก ยอดดำเนิน ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสินค้าอาหารสด ซีพี แอ็กซ์ตร้า กล่าวว่า โครงการลำไย-ปันสุข ปีที่ 6 คืนสุข สู่ชุมชน เป็นความร่วมมือระหว่างกรมการค้าภายใน และซีพี แอ็กซ์ตร้า ในเชื่อมโยงรับซื้อผลไม้โดยตรงจากเกษตรกร ตามโครงการ Thai Fruits Festival 2025 เพื่อนำมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคผ่านเครือข่ายห้างแม็คโครและโลตัสที่มีอยู่กว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ โดยบริษัทตั้งเป้ารับซื้อลำไยประมาณ 1,000 ตัน และรายได้จากการขายลำไย 1 กิโลกรัม จะถูกจัดสรร 1 บาท เพื่อสนับสนุนอาหารกลางวันให้กับโรงเรียนในพื้นที่เพาะปลูกลำไย ซึ่งโครงการนี้ ไม่เพียงช่วยระบายผลผลิตลำไยออกสู่ตลาด แต่ยังส่งความสุขกลับไปยังเกษตรกรในพื้นที่ด้วย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 242/2568 DIT ประสานสมาคมลำไยอบแห้งภาคเหนือ เพิ่มโควตารับซื้อ ช่วยเกษตรกรแปลงใหญ่ลำพูน เดินหน้าร่วมเอกชนดูดซับผลผลิต (6 สิงหาคม 2568)
DIT ประสานสมาคมลำไยอบแห้งภาคเหนือ เพิ่มโควตารับซื้อ ช่วยเกษตรกรแปลงใหญ่ลำพูน เดินหน้าร่วมเอกชนดูดซับผลผลิต กรมการค้าภายใน เร่งเดินหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรลำไยแปลงใหญ่ จ.ลำพูน ประสานสมาคมผู้ผลิตลำไยอบแห้งภาคเหนือ เพิ่มโควตารับซื้อผลผลิต พร้อมจับมือภาคเอกชนและห้างค้าปลีก ขยายช่องทางจำหน่าย ดูดซับผลผลิตลำไยช่วงฤดูกาลออกสู่ตลาด ลดผลกระทบด้านราคา และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ตามนโยบายกระทรวงพาณิชย์โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น ให้กรมการค้าภายในเร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไยในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระบบแปลงใหญ่ซึ่งมีการจัดการผลผลิตเป็นกลุ่ม มีความพร้อมด้านคุณภาพและการตลาดนั้น กรมฯ ได้ประสานกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดลำพูนให้ขอความร่วมมือไปยังสมาคมผู้ผลิตลำไยอบแห้งภาคเหนือ เพื่อเพิ่มโควตาการรับซื้อลำไยสดจากเกษตรกรแปลงใหญ่ โดยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 68 สำนักงานพาณิชย์จังหวัดลำพูน ได้เข้าพบและหารือกับนายกสมาคมผู้ผลิตลำไยอบแห้งภาคเหนือ โดยมีข้อสรุปร่วมกันว่า สมาคมฯ จะประสานไปยังโรงอบที่เป็นสมาชิกและได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับแปลงใหญ่ทั้ง 12 กลุ่ม ให้เพิ่มปริมาณรับซื้อลำไยจากเดิมวันละ 1 คันรถสี่ล้อ เป็น 2 คันรถสี่ล้อ ตามข้อเสนอของเกษตรกร ทั้งนี้ ได้มีการกำชับให้กลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ลำไย ควบคุมคุณภาพของผลผลิตลำไยก่อนส่งมอบแก่โรงอบอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษามาตรฐานสินค้า โดยสามารถเริ่มส่งได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางสาวญาณี กล่าวต่อว่า การเพิ่มโควตารับซื้อลำไยของโรงอบจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรได้โดยอีกทางหนึ่ง กรมฯ ได้เร่งเพิ่มช่องทางการจำหน่ายลำไย โดยร่วมกับห้างค้าปลีก เช่น แมคโคร โลตัส (เครือซีพีเอ็กซ์ตร้า) ท็อปส์ และบิ๊กซี ในการรับซื้อลำไยเพิ่มจากเกษตรกรแปลงใหญ่จากเดิมที่ตกลงไว้ นอกจากนี้การเพิ่มช่องทางตลาดแล้ว กรมฯ ยังได้ประสานความร่วมมือกับพันธมิตรภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ และกลุ่มใน SET อาทิ บริษัทเงินติดล้อ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ในการร่วมดำเนินกิจกรรม CSR ผ่านการรับซื้อลำไยจากเกษตรกร รวมถึงการเปิดพื้นที่จำหน่ายภายในองค์กร ของธนาคารไทยพาณิชย์ SCB ถือเป็นอีกกลไกหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญในการดูดซับผลผลิตลำไยช่วงฤดูกาลออกสู่ตลาด และช่วยเพิ่มช่องทางรายได้ให้เกษตรกรโดยตรง
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 241/2568 DIT ผนึกหอการค้าไทย และซีพีแอ็กซ์ตร้า รับซื้อมะนาวบ้านแพ้ว ให้เกษตรกรมีตลาดรองรับ (6 สิงหาคม 2568)
DIT ผนึกหอการค้าไทย และซีพีแอ็กซ์ตร้า รับซื้อมะนาวบ้านแพ้ว ให้เกษตรกรมีตลาดรองรับ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (DIT) เปิดเผยว่า DIT ได้ร่วมมือกับหอการค้าไทย และบริษัท ซีพีแอ็กซ์ตร้า จำกัด (ห้างแม็คโครและโลตัส) ในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมะนาวในช่วงที่ผลผลิตออกมากกว่าปกติ โดยเริ่มรับซื้อมะนาวจากกลุ่มสหกรณ์ผู้ปลูกมะนาวบ้านแพ้วดำเนินสะดวก จำกัด วันละ 1-2 ตัน และจะดำเนินการตลอดทั้งปี ซึ่งถือเป็นการสร้างตลาดรองรับที่มั่นคงให้กับเกษตรกร จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตร ระบุว่า ผลผลิตมะนาวทั่วประเทศในปี 2568 (ม.ค. ก.ค.) อยู่ที่กว่า 126,000 ตัน โดยจังหวัดสมุทรสาครจัดเป็นแหล่งปลูกใหญ่อันดับ 5 ของประเทศ มีพื้นที่ปลูกกว่า 6,500 ไร่ และมีผลผลิตเฉลี่ยรวมประมาณ 20,000 ตันต่อปี โดยร้อยละ 90 ของเกษตรกรผู้ปลูกอยู่ในอำเภอบ้านแพ้ว อย่างไรก็ตาม ราคาที่เกษตรกรขายได้ในช่วงเดือนมกราคม กรกฎาคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ลูกละ 0.85 บาท น้อยกว่าปี 2567 ซึ่งเฉลี่ยที่ลูกละ 0.95 บาท และตลอดปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ลูกละ 1.5 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกเฉลี่ยที่กรุงเทพฯ (1 ส.ค. 2568) อยู่ที่ลูกละ 1.75 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่อยู่ที่ ลูกละ 4.29 บาท ความร่วมมือในครั้งนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร โดยจะมีการกระจายผลผลิตเข้าสู่ห้างค้าปลีกทั่วประเทศ ช่วยให้เกษตรกรขายมะนาวได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่ต้องกังวลเรื่องราคาลดลงในช่วงผลผลิตล้นตลาด นายวิทยากรกล่าว ทั้งนี้ มะนาวบ้านแพ้ว เป็นมะนาวสายพันธุ์พื้นบ้านของอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ที่มีชื่อเสียงในเรื่องคุณภาพ เป็นพันธุ์ แป้นพวงบ้านแพ้ว ที่มีลักษณะพิเศษคือติดลูกเป็นพวง เปลือกบาง น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัด และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ปลูกง่าย ออกผลได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูแล้งมะนาวจะมีราคาสูง ส่วนในฤดูฝนช่วงเดือนมิถุนายน กันยายน ผลผลิตจะออกจำนวนมาก ทำให้ราคาที่เกษตรกรขายได้ลดลง อธิบดี DIT กล่าวทิ้งท้ายว่า การนำผู้ประกอบการเข้าร่วมรับซื้อผลผลิตในช่วงผลผลิตล้นตลาดเช่นนี้ ช่วยให้เกษตรกรมั่นใจว่าจะมีช่องทางจำหน่ายที่แน่นอน ส่งผลดีต่อรายได้ของครัวเรือนในพื้นที่เกษตรกรรม และช่วยให้ตลาดมะนาวเกิดการหมุนเวียนที่ดีขึ้นในภาพรวมของประเทศ
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 240/2568 “สุชาติ” Kick Off ธงเขียว by DIT ขายปุ๋ยถูก ยาดี ลดสูงสุด 60% ส่งตรงถึงมือเกษตรกรทั่วไทย (5 สิงหาคม 2568)
สุชาติ Kick Off ธงเขียว by DIT ขายปุ๋ยถูก ยาดี ลดสูงสุด 60% ส่งตรงถึงมือเกษตรกรทั่วไทย รมช.สุชาติ Kick Off ธงเขียวราคาประหยัด ปุ๋ยถูก ยาดี ต้องที่ธงเขียว จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งจัดโดย DIT นำสินค้าปัจจัยเกษตรมาจำหน่าย เช่น ปุ๋ยเคมี เคมีเกษตร และอุปกรณ์การเกษตร ลดสูงสุด 60% โดยเฉพาะปุ๋ยลดราคาพิเศษกระสอบละ 200 บาท เพื่อช่วยลดต้นทุนให้แก่เกษตรกร และเพิ่มช่องทางการซื้อปัจจัยการเกษตร วันนี้ (อังคารที่ 5 ส.ค. 68) ณ สหกรณ์การเกษตรแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานพิธีเปิดงาน ธงเขียวราคาประหยัด ปุ๋ยถูก ยาดี ต้องที่ธงเขียว โดยเปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนในทุกมิติ โดยเฉพาะการลดค่าครองชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก กระทรวงพาณิชย์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ได้ขับเคลื่อนนโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย โดยมุ่งเน้นการกระตุ้นการใช้จ่าย ควบคู่ไปกับการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนและเกษตรกร การจัดงานธงเขียวราคาประหยัดในวันนี้ นับเป็นโอกาสใหม่ในการลดต้นทุนให้แก่เกษตรกร และเพิ่มช่องทางในการซื้อสินค้าปัจจัยเกษตรได้โดยตรงในราคาที่เหมาะสม นายสุชาติ กล่าวต่อว่า โครงการ ธงเขียว ได้ริเริ่มขึ้นจากข้อเสนอของพี่น้องเกษตรกร จากที่ DIT ได้ดำเนินโครงการธงฟ้าเพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัด จึงขอให้มีการจัดโครงการช่วยเหลือสินค้าเกษตรโดยเฉพาะด้วย เพื่อลดต้นทุนสำหรับสินค้าเกษตรที่เป็นพืชและสัตว์มีชีวิต จึงได้จัดทำโครงการนี้จำหน่ายปุ๋ยถูกยาดี โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโรงงานผลิตปุ๋ยให้การสนับสนุน นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดพัฒนาระบบสิทธิการเข้าถึงปัจจัยการผลิตอย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากขนาดพื้นที่เพาะปลูก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เช่น เกษตรกรที่มีพื้นที่ 100 ไร่ ควรได้รับสิทธิมากกว่าผู้ที่มี 10-20 ไร่ ไม่ใช่ได้รับปุ๋ยในปริมาณเท่ากัน พร้อมกันนี้แนะนำให้เกษตรกรเลือกปลูกข้าวสายพันธุ์ที่ตลาดยอมรับ เช่น ข้าวหอมมะลิหรือข้าวหอมปทุม ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลก พร้อมผลักดันให้เกิดการจัดโซนนิ่งการผลิตที่ชัดเจน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสินค้าที่นำมาจำหน่ายภายในงานได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน ได้แก่ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย ผู้ผลิตปุ๋ยเคมี เคมีเกษตร และห้างสรรพสินค้า อาทิ บิ๊กซี ไทวัสดุ เมกาโฮม โฮมโปร ภายในงานยังมีการจำหน่ายปุ๋ยเคมี ลดราคาพิเศษกระสอบละ 200 บาท ปุ๋ย 6 สูตร ได้แก่ 46-0-0 , 16-20-0 , 15-15-15 , 16-16-16 , 16-8-8 และ 18-8-8 (เกษตรกรซื้อได้ไม่เกินคนละ 5 กระสอบสำหรับเคมีเกษตร เกษตรกรจะได้รับคูปองส่วนลด 50 บาท สำหรับซื้อเคมีเกษตรในงาน นอกจากการจัดงานในวันนี้ DIT กรมการค้าภายใน ได้ตั้งเป้าขยายผลการจัดงานธงเขียวราคาประหยัดไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรสามารถเข้าถึงสินค้าในราคาที่เป็นธรรม และลดต้นทุนได้อย่างยั่งยืน โครงการธงเขียว จะมีทั้งยาฆ่าแมลงและปุ๋ยทุกชนิด โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งหากเกษตรกรมีต้นทุนผลผลิตลดลง จะทำให้เกษตรกรได้กำไรมากขึ้น โดยหลังจากนี้ DIT จะนำ ธงเขียว ไปจำหน่ายทุกที่ในพื้นที่ที่มีการทำการเกษตร รวมถึงปศุสัตว์ด้วย ทั้งนี้ ขอขอบคุณผู้ประกอบการ โรงงานผลิตปุ๋ยทุกภาคส่วน ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินโครงการนี้อย่างเต็มที่ นี่คือส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงความร่วมมือกันในการช่วยเหลือภาคการเกษตรของไทย นายสุชาติ กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
Dit Logo New (2)

กรมการค้าภายใน ขอส่งแรงใจให้ทหารแนวหน้าที่กำลังปกป้องอธิปไตยผืนแผ่นดินไทย และพี่น้องชาวไทย ขอให้ปลอดภัย

สอบถามข้อมูล

arrow-down

DIT Chat Service ยินดีให้บริการ

maximize
สอบถามข้อมูลเพิมเติมกับเจ้าหน้าที่ (Admin)

บริการของกรมการค้าภายใน

7422635f-7946-4705-88ec-05d965bd7b40

การขออนุญาตประกอบการค้า

862c658c-96a2-4f51-87cb-7ae89028e48a

สอบถามราคาสินค้าเกษตร

e776ba32-103f-4917-b746-5333af42cf9d

รวบรวมกิจกรรมกรมการค้าภายใน

3e6fa301-b225-4427-b882-4d78e453a2ed

การเดินทางมายังกรมการค้าภายใน

เลขที 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000

โทรศัพท์ 0-2507-5530

โทรสาร: 0-257-5361

E-mail: Saraban@dit.go.th

Call Center: 1569 ร้องเรียน/เสนอแนะ