ข่าวเลขที่ 13/2569 “พาณิชย์” จับมือ ”กลาโหม“ ยกขบวนสินค้าราคาประหยัด ปล่อยคาราวานโมบายธงฟ้าเข้าถึงชายแดน หนุนผู้ประกอบการ-ฟื้นเศรษฐกิจ–ลดค่าครองชีพ-ดูแลความมั่นคง (19 ตุลาคม 2568)
“พาณิชย์” จับมือ ”กลาโหม“ ยกขบวนสินค้าราคาประหยัด ปล่อยคาราวานโมบายธงฟ้าเข้าถึงชายแดน หนุนผู้ประกอบการ-ฟื้นเศรษฐกิจ–ลดค่าครองชีพ-ดูแลความมั่นคง วันที่ 18 ตุลาคม 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน “มหกรรมธงฟ้าเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน จังหวัดศรีสะเกษ” ณ ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับพลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อช่วยเหลือประชาชนลดภาระค่าครองชีพ และส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาให้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น พร้อมเปิดตัว คาราวานโมบายธงฟ้า เพื่อจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอชายแดนที่ห่างไกล ซึ่งภายในงานมีการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัดกว่า 1,000 รายการ ครอบคลุม 10 หมวดสินค้า ลดราคาสูงสุดถึง 60% อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ซอสปรุงรส น้ำยาซักผ้า เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแต่งกาย รวมถึงสินค้าชุมชนจากจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดชายแดนอีก 6 จังหวัด โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–19 ตุลาคม 2568 นอกจากนี้ ยังมีสินค้าไฮไลท์ในราคาพิเศษทุกวัน เช่น ไข่ไก่เบอร์ M แผงละ 80 บาท น้ำตาลทรายกิโลกรัมละ 20 บาท น้ำมันพืชปาล์มขวดละ 40 บาท และข้าวหอมมะลิ (5 กก.) ถุงละ 120 บาท รวมถึงสินค้าผลไม้จากกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ นำมาจำหน่ายในราคาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน นางศุภจี กล่าวว่า โครงการธงฟ้าเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อช่วยเยียวยาค่าครองชีพของประชาชน โดยนำสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเข้าถึงได้ในราคาประหยัด เพื่อแบ่งเบาภาระของพี่น้องชาวศรีสะเกษ รวมทั้งยังเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการในจังหวัดได้นำสินค้ามาจำหน่าย และขยายช่องทางตลาดมากขึ้น กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อช่วยนำสินค้าของผู้ประกอบการในจังหวัดศรีสะเกษไปจำหน่ายทั่วประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์และไปรษณีย์ไทยจะร่วมสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าให้ผู้ประกอบการรายละ 1,000 บาท เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสทางการตลาด “วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ไม่เฉพาะกับชาวศรีสะเกษเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชาในภาพรวม เพราะเศรษฐกิจจะเดินได้ ความมั่นคงต้องมี ซึ่งดิฉันยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจากท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในการดูแลด้านความมั่นคงและความปลอดภัยให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนควบคู่กันไป” นางศุภจี กล่าว นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมีแนวนโยบาย “Quick Big Win” เพื่อขับเคลื่อนภารกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มุ่งให้เกิดผลทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลค่าครองชีพและการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน เสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย “เราจะไม่หยุดแค่การจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่จะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าท้องถิ่น โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ร่วมส่งเสริมให้สินค้าของศรีสะเกษให้มีการขึ้นทะเบียน GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์)เพิ่มเติม เพื่อสร้างมูลค่าและรายได้ให้กับเกษตรกร ซึ่งปัจจุบันสินค้า GI ของจังหวัดสร้างรายได้กว่า 4,500 ล้านบาท แล้ว ถือเป็นรายได้ที่กลับไปสู่พี่น้องชาวศรีสะเกษอย่างแท้จริง ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียง มาร่วมเลือกซื้อสินค้าคุณภาพในราคาประหยัดจากโครงการมหกรรมธงฟ้า ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้คัดสรรมาอย่างดี” นางศุภจี กล่าว นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการนำเสนอสินค้า(GI) และผลิตภัณฑ์ชุมชนที่โดดเด่นมีศักยภาพ จาก 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ได้รับการพัฒนาและยกระดับภาพลักษณ์ ภายใต้ความร่วมมือของกรมการค้าภายใน กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยจับคู่ผู้ประกอบการกับนักออกแบบ พัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และเรื่องราวของสินค้าให้มีความน่าสนใจ พร้อมผลักดันเป็นของขวัญของฝากช่วงเทศกาลปลายปี สินค้าที่ร่วมพัฒนา เช่น ผ้าไหมเก็บบ้านเมืองหลวง และไก่ย่างไม้มะดัน (จ.ศรีสะเกษ) ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟ และผ้าไหมมัดหมี่ซิ่นตีนแดง (จ.บุรีรัมย์) เนื้อโคขุนและข้าวหอมมะลิ (จ.สุรินทร์) น้ำปลาตราสามกระต่าย (จ.ตราด) ผ้าขาวม้ามาลัยกรและงานจักสานไม้ไผ่หุ้มเซรามิก (จ.สระแก้ว) รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลา หมูยอ ข้าวหอมมะลิจากกลุ่มนาแปลงใหญ่ (จ.อุบลราชธานี) และเสื่อสุริยา (จ.จันทบุรี) ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่สะท้อนเอกลักษณ์ท้องถิ่นและมีศักยภาพในการพัฒนาเชิงพาณิชย์ต่อไป
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 12/2569 DIT ระดมตรวจความถูกต้องเครื่องวัดความชื้นข้าวโพดทั่วประเทศ รักษาความเป็นธรรมให้เกษตรกร (18 ตุลาคม 2568)
DIT ระดมตรวจความถูกต้องเครื่องวัดความชื้นข้าวโพดทั่วประเทศ รักษาความเป็นธรรมให้เกษตรกร กรมการค้าภายใน (DIT) เดินหน้าระดมตรวจสอบเครื่องวัดความชื้นข้าวโพดทั่วประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อคุ้มครองเกษตรกรไม่ให้ถูกเอาเปรียบในการรับซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด โดยเริ่มดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2568 เป็นต้นมา ครอบคลุมกว่า 37 จังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดระดมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานประกอบการรับซื้อข้าวโพดทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงที่ผ่านมา เพื่อคุ้มครองเกษตรกรในการรับซื้อขายข้าวโพดในช่วงผลผลิตข้าวโพดออก โดยได้ตรวจสถานประกอบการที่รับซื้อข้าวโพดจำนวน 500 แห่ง ซึ่งมีการตรวจเครื่องวัดความชื้นข้าวโพดแล้วจำนวน 396 เครื่อง และเครื่องชั่งรถยนต์ 503 เครื่อง พบเครื่องวัดความชื้นที่หมดอายุคำรับรอง 2 เครื่อง ในจังหวัดลำพูนและกำแพงเพชร เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายรายละ 5,000 บาท และ 10,000 บาท ตามลำดับ พร้อมกำชับผู้ประกอบการให้ความสำคัญในการตรวจสอบอายุคำรับรองของเครื่องวัดความชื้นข้าวโพด เพื่อสร้างความมั่นใจในการวัดความชื้นของข้าวโพดให้กับเกษตรกรในการซื้อขาย ทั้งนี้ กรมการค้าภายในได้วางแผนตรวจสอบเครื่องวัดความชื้นข้าวโพดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 28 พฤศจิกายน 2568 ในพื้นที่ 37 จังหวัด เป้าหมายตรวจเครื่องวัดความชื้นข้าวโพด 676 เครื่อง ครอบคลุมจังหวัดสำคัญที่เป็นแหล่งผลิตและรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เช่น ราชบุรี ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี ลำพูน เชียงใหม่ ลำปาง พะเยา แพร่ พิษณุโลก น่าน นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก พิจิตร เพชรบูรณ์ อุดรธานี หนองคาย ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ เลย หนองบัวลำภู รวมถึงจังหวัดในภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี และสระแก้ว เป็นต้น อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า การตรวจสอบเครื่องวัดความชื้นข้าวโพดเป็นมาตรการสำคัญในการคุ้มครองเกษตรกร เพราะค่าความชื้นมีผลโดยตรงต่อราคารับซื้อ หากเครื่องวัดความชื้นไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกษตรกรได้รับราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง กรมฯ จึงขอให้ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือใช้เครื่องวัดความชื้นที่ผ่านการรับรองจากกรมการค้าภายใน และให้เกษตรกรสังเกตเครื่องวัดความชื้นที่มีเครื่องหมายคำรับรองของกรมฯ เพื่อสร้างความมั่นใจในการซื้อขาย โดยหากพบว่า มีการกดราคารับซื้อต่ำกว่าราคาตลาด การติดป้ายแสดงราคารับซื้อไม่ชัดเจน หรือสงสัยผู้ประกอบการใช้เครื่องชั่งน้ำหนักและเครื่องวัดความชื้นไม่ได้มาตรฐาน แจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 ศูนย์หรือสำนักงานสาขาชั่งตวงวัด และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ สถานการณ์การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2568/69 มีปริมาณประมาณ 4.739 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.98 จากปีก่อน โดยขณะนี้ผลผลิตเริ่มทยอยออกสู่ตลาดแล้วกว่า 1.39 ล้านตัน หรือร้อยละ 29.31 ของผลผลิตทั้งหมด และจะออกมากที่สุดในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่เกษตรกรจำนวนมากนำผลผลิตมาขายให้ผู้ประกอบการ “กรมการค้าภายในจะดำเนินการตรวจสอบเครื่องวัดความชื้นข้าวโพดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกรมั่นใจว่าการซื้อขายเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และช่วยให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาที่สะท้อนคุณภาพที่แท้จริง” นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้าย -------------------------------------
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 11/2569 “พาณิชย์” จัดมหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด ชวนซื้อสินค้าลดราคาในเทศกาลกินเจ ลดสูงสุด 56% เพิ่มการจับจ่ายใช้สอย 21-29 ตุลาคม นี้ (17 ตุลาคม 2568)
“พาณิชย์” จัดมหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด ชวนซื้อสินค้าลดราคาในเทศกาลกินเจ ลดสูงสุด 56% เพิ่มการจับจ่ายใช้สอย 21-29 ตุลาคม นี้ คาดลดค่าครองชีพกว่า 750 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ 2,250 ล้านบาท ขอให้มั่นใจสินค้าเจในปีนี้ “จะไม่แพง และเข้าถึงได้” อย่างแน่นอน โดยในวันนี้ (17 ก.ย.68) นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการแถลงเปิดงาน “มหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด” ณ กระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี โดยในปีนี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ผนึกกำลังร่วมกับภาคีเครือข่ายพันธมิตร 97 ราย ประกอบด้วย สมาคมตลาดสดไทย สมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย (TFA) ผู้ผลิต ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ร้านสะดวกซื้อ ร้านเครื่องดื่ม และ Platform Online จัดโปรโมชันลดราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลกินเจ มาจำหน่ายระหว่างวันที่ 21-29 ตุลาคม 2568 จำนวน 9 วัน สินค้า 3 กลุ่ม กว่า 2,400 รายการ ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 ลดราคาวัตถุดิบ ซอสปรุงรส อาหารสำเร็จรูป ผัก-ผลไม้ เครื่องดื่ม ลดสูงสุดกว่า 56% กลุ่มที่ 2 เชื่อมโยงสินค้าผักปลอดภัยจากตลาดกลาง จำหน่ายในราคาประหยัด ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) จากแหล่งที่มา ผ่าน QR CODE ได้ รวมไปถึงลดราคาอาหารปรุงสด-ปรุงสำเร็จ เมนูทางเลือกราคาประหยัด ร่วมกับตลาดสด 30 ตลาด จำหน่ายในราคา 30-40 บาท/เมนู อาทิ ผัดหมี่ซั่วเจ เผือกทอด มันทอด เต้าหู้ทอด ข้าวราดแกงเจ ปอเปี๊ยะทอด ซาลาเปาเจ น้ำพริกเจ ขนมหวานเจ และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ลดค่าอาหารสูงสุด 50% กลุ่มที่ 3 ลดราคาอาหารแห่งอนาคต (Plant Based-Future Food) ลดสูงสุด 55% ซึ่งเป็นการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ เป็นทางเลือกให้ประชาชน อาทิ เส้นก๋วยเตี๋ยวจากน้ำมะพร้าว ผลิตภัณฑ์จากผำ ผำฉะ นมโอ๊ตไข่ผำ วุ้นกะทิไข่ผำ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ กล่าวว่า สำหรับการจัดกิจกรรม “มหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด” ในปีนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในระยะเวลา 4 เดือน ภายใต้หลักการ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ใน 7 นโยบาย Quick Win ที่สำคัญของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องดำเนินการทันที โดยกระทรวงมุ่งดูแลค่าครองชีพของประชาชน ควบคู่กับการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่เหมาะสม อิ่มบุญและอิ่มใจไปพร้อมกัน “ขอต้อนรับเข้าสู่เทศกาลกินเจในปีนี้ ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญและสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เชื่อว่าทุกท่านที่ได้ร่วมกิจกรรมนี้จะไม่เพียงแต่อิ่มท้องจากอาหารอร่อยเท่านั้น แต่ยังอิ่มใจที่ได้ทำสิ่งดีๆ คืนชีวิตให้กับสัตว์ทั้งหลาย อาหารเจในปัจจุบันมีวิวัฒนาการและความหลากหลายมากขึ้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้ก้าวหน้าไปอีกระดับ ขอขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนกระทรวงพาณิชย์มาโดยตลอด กระทรวงพาณิชย์มุ่งช่วยเหลือประชาชนในการลดค่าครองชีพ ดูแลพืชผลทางการเกษตร หาตลาดใหม่ และสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ทุกภาคส่วน ปีนี้ถือเป็นปีที่ดี เพราะสินค้าที่หลายคนกังวลว่าราคาพืชผักจะสูงขึ้นนั้น จากการลงพื้นที่ตรวจตลาดในช่วงเช้า พบว่าราคายังคงทรงตัว ไม่ได้สูงมาก ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง จึงขอยืนยันว่า อาหารเจในปีนี้จะไม่แพง และทุกคนสามารถเข้าถึงได้แน่นอน ขออวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เจริญรุ่งเรือง และอิ่มบุญอิ่มใจกันถ้วนหน้า”รมว.พาณิชย์ กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมการค้าภายใน ทั้งสายด่วน 1569 และเพจ Facebook และ websites กรมการค้าภายใน รวมถึงช่องทางของพันธมิตรเครือข่าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 10/2569 DIT เผยโรงพยาบาลเอกชน–ร้านยา ร่วมโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” คึกคักทั่วประเทศ หนุนลดภาระค่าครองชีพประชาชน (16 ตุลาคม 2568)
DIT เผยความร่วมมือจากโรงพยาบาลเอกชน 327 แห่ง และร้านยา 2,382 ร้านทั่วประเทศ จากการลงทะเบียนร้านยา เพียง 2 วันแรก เดินหน้าเชื่อมโยงระบบบริการสุขภาพ ยกระดับสิทธิผู้ป่วยเข้าถึงยาคุณภาพในราคาที่เป็นธรรม เตรียมพร้อม MOU ร่วมกัน นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการ “Quick Big Win” ตามนโยบายของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่า ขณะนี้ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศแล้วกว่า 327 แห่ง และตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดลงทะเบียนร้านยาเพื่อเข้าร่วมโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” เพียง 2 วัน (เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 68) มีร้านยาที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้น 2,382 ร้าน ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงพลังความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการช่วยลดค่าครองชีพและสร้างระบบสุขภาพที่ยกระดับและเข้าถึงได้สำหรับประชาชนทุกคน อธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างกรมการค้าภายใน (DIT) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสามารถนำใบสั่งยาจากโรงพยาบาลไปซื้อยาจากร้านยาภายนอกได้ในราคาที่เป็นธรรม โดยร้านยาที่เข้าร่วมจะต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. และมีเภสัชกรประจำร้านทุกแห่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่ายาที่จำหน่ายมีคุณภาพ ปลอดภัย และเป็นไปตามใบสั่งแพทย์ นายวิทยากร กล่าวต่อว่า กรมการค้าภายในอยู่ระหว่างเตรียมการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับ 3 หน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนระบบ “เปิดเผยราคายาและเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกซื้อยาได้เอง” ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบ เปรียบเทียบราคาได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางการเข้าถึงยาและค่ารักษาพยาบาล พร้อมทั้งเตรียมพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ “ร้านยาสุขกาย สบายกระเป๋า” เพื่อให้ประชาชนสามารถค้นหาร้านยาในพื้นที่ใกล้เคียงที่เข้าร่วมโครงการได้สะดวกและรวดเร็ว สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านบริการทางการแพทย์ของประเทศ มีโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำจำนวนมากให้ความร่วมมือเข้าร่วมโครงการแล้ว รวมกว่า 100 แห่ง อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท โรงพยาบาลธนบุรี โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น โรงพยาบาลพญาไท 2 โรงพยาบาลวิชัยเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลรามคำแหง และโรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน เป็นต้น และยังมีโรงพยาบาลเอกชนในต่างจังหวัดอีกกว่า 200 แห่งทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งทุกโรงพยาบาลต่างมีเจตนารมณ์ร่วมสนับสนุนนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ในการให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาคุณภาพในราคายุติธรรมมากยิ่งขึ้น ในส่วนของร้านยา DIT ได้บูรณาการข้อมูลร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสภาเภสัชกรรม ในการเตรียมความพร้อมร้านยาสำหรับรองรับการใช้บริการของประชาชน โดยประชาชนสามารถค้นหาร้านยาที่เข้าร่วมได้จากแอฟพลิเคชันได้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการสร้างความสะดวกและมีโอกาสเลือกซื้อยาในร้านยาใกล้บ้านได้ ซึ่งขณะนี้ร้านยากว่า 2,382 แห่งที่มีการลงทะเบียนเข้ามาในระบบเพียง 2 วันแรก และคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก จนครอบคลุมทุกพื้นที่บริการ นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการสุขกาย สบายกระเป๋า ไม่ได้เป็นเพียงมาตรการลดค่าครองชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับสิทธิของผู้ป่วยให้มีทางเลือกในการรักษา และเข้าถึงยาคุณภาพในราคาที่เป็นธรรม ความร่วมมือจากโรงพยาบาลเอกชนและร้านยาทั่วประเทศ แสดงให้เห็นถึงพลังความตั้งใจร่วมกันของทุกฝ่าย ที่ต้องการให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบสุขภาพของไทย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 9/2569 DIT ยืนยันดูแลราคาข้าวเหนียวเชียงใหม่อย่างใกล้ชิด เดินหน้ามาตรการพยุงราคา-ลดต้นทุน-ตรวจสอบการรับซื้อ ช่วยเกษตรกรขายได้ในระดับที่เป็นธรรม (16 ตุลาคม 2568)
กรมการค้าภายใน (DIT) เร่งดูแลราคาข้าวเหนียวจังหวัดเชียงใหม่ หลังชาวนาได้รับผลกระทบจากราคาตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 7 บาท อธิบดีกรมการค้าภายในยืนยันไม่ได้นิ่งนอนใจ เดินหน้ามาตรการพยุงราคา พร้อมตรวจเข้มโรงสีป้องกันการกดราคา และเร่งลดต้นทุนปุ๋ย–ยาผ่านโครงการ “ธงเขียว” เพื่อให้เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรม นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า “กรมการค้าภายใน (DIT) ได้รับทราบปัญหาความเดือดร้อนของชาวนาในจังหวัดเชียงใหม่ที่รวมตัวเรียกร้องให้ภาครัฐเข้าดูแลราคาข้าวเปลือกเหนียวที่ตกต่ำอยู่ในขณะนี้ ซึ่งชาวนาได้รับราคาจำหน่ายเพียงกิโลกรัมละ 7 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูง ทำให้ไม่คุ้มทุน โดยชาวนาเรียกร้องให้รัฐช่วยพยุงราคาขายให้ได้อย่างน้อยกิโลกรัมละ 10 บาท และให้ช่วยควบคุมราคาปุ๋ยและสารเคมีการเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม”นายวิทยากร กล่าวต่อว่า “กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกร และให้ความสำคัญกับการดูแลราคาข้าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยใช้ 4 มาตรการหลักในการพยุงราคาข้าวเปลือกนาปี และช่วยลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร ซึ่งรวมถึงข้าวเปลือกเหนียวของจังหวัดเชียงใหม่ด้วย ได้แก่ 1. มาตรการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เพื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรสามารถเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของตนเอง ไม่ต้องเร่งขายในช่วงที่ราคาต่ำ โดยเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย พร้อมค่าฝากเก็บและค่ารักษาคุณภาพข้าว 2.มาตรการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร สามารถรวบรวมข้าวเปลือกไปจำหน่ายหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ช่วยดูดซับผลผลิตออกจากตลาดในช่วงเก็บเกี่ยว 3. มาตรการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเก็บสต็อกข้าวไว้ได้โดยไม่ต้องเร่งระบายผลผลิตในช่วงที่ราคาต่ำ เป็นการเพิ่มสภาพคล่องและช่วยให้ผู้ค้าข้าวสามารถรับซื้อผลผลิตจากชาวนาได้ในราคาที่เหมาะสม และ 4 มาตรการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 หรือโครงการไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ โดยในจังหวัดเชียงใหม่โอนเงินช่วยเหลือให้เกษตรกรแล้ว 69,985 ครัวเรือน วงเงินจำนวน 430 ล้านบาท นายวิทยากร กล่าวต่ออีกว่า “นอกจากนี้ DIT มีกิจกรรมการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกโดยประสานโรงสีทั้งในพื้นที่และจากต่างพื้นที่เข้ามารับซื้อข้าวเปลือกในพื้นที่ เพื่อเพิ่มการแข่งขันด้านราคาและลดการกดราคารับซื้อ ในส่วนของการดูแลไม่ให้เกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบ กรมได้ให้เจ้าหน้าที่สายตรวจกรมการค้าภายในเข้าตรวจสอบการรับซื้อข้าวเปลือกในพื้นที่อย่างเข้มงวด ทั้งโรงสีและผู้ประกอบการค้าข้าวต้องแสดงราคารับซื้อให้ชัดเจนตามมาตรฐานความชื้น รวมถึงอัตราการหักลดน้ำหนักสิ่งเจือปน ต้องมีใบอนุญาตประกอบการค้าข้าวถูกต้อง ใช้เครื่องชั่งและเครื่องวัดความชื้นที่เที่ยงตรงตามกฎหมาย หากพบการกระทำที่เอาเปรียบหรือกดราคารับซื้อ จะดำเนินการตามกฎหมายทันที โดยหากเกษตรกรพบการรับซื้อข้าวเปลือกที่ไม่เป็นธรรม หรือมีการกดราคา สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ที่ สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569 เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและดำเนินการอย่างรวดเร็ว ส่วนของการช่วยลดต้นทุนการผลิต กรมได้เตรียมจัดกิจกรรม “ธงเขียว” จำหน่ายปุ๋ยราคาประหยัด เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรโดยตรง สำหรับสถานการณ์ผลผลิตข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ปลูกประมาณ 510,000 ไร่ ลดลงร้อยละ 3.42 ผลผลิตรวมประมาณ 318,000 ตัน ลดลงร้อยละ 3.57 โดยข้าวที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นข้าวเจ้าพื้นเมืองและข้าวเหนียวพันธุ์สันป่าตอง 1 ขณะนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วร้อยละ 2 โดยราคาข้าวเปลือกเหนียวความชื้น 25–30% อยู่ที่ตันละ 6,900–7,000 บาท ซึ่งเป็นราคาช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยว และคาดว่าราคาจะทยอยปรับตัวดีขึ้นเมื่อมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐเริ่มมีผลอย่างเป็นรูปธรรม นายวิทยากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขณะนี้เราได้เร่งประสานทุกภาคส่วนเพื่อให้ราคาข้าวเปลือกสะท้อนต้นทุนการผลิตที่เป็นธรรม เชื่อมั่นว่ามาตรการทั้งหมดที่ดำเนินการจะช่วยพยุงราคาข้าวในฤดูกาลนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สร้างความมั่นใจและความเป็นธรรมให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ”
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 8/2569 DIT มั่นใจ ผักช่วงเทศกาลกินเจปีนี้มีเพียงพอ ราคายังต่ำกว่าปีก่อน (15 ตุลาคม 2568)
กรมการค้าภายใน (DIT) ยืนยันผักในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้มีปริมาณเพียงพอ ไม่ขาดตลาด แม้มีฝนตกต่อเนื่องทั่วประเทศ ราคาผักส่วนใหญ่ยังต่ำกว่าปีก่อน ช่วยให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจตลอดเทศกาลกินเจ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์ราคาผักในตลาดอย่างใกล้ชิด โดยร่วมกับสมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย และตลาดกลางสินค้าเกษตรที่สำคัญของประเทศ ได้แก่ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดศรีเมือง และตลาดล้านเมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางกระจายผักไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อประเมินปริมาณผลผลิตและแนวโน้มราคาอย่างต่อเนื่อง ผลการติดตามล่าสุดพบว่า ราคาผักส่วนใหญ่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน อาทิ กะหล่ำปลี กิโลกรัมละ 10 บาท จาก 16 บาทในปีก่อน, ผักกาดขาว กก.ละ 10 บาท จาก 13 บาท, ถั่วฝักยาว กก.ละ 16 บาท จาก 25 บาท, ผักบุ้งจีน กก.ละ 14 บาท จาก 25 บาท, หัวไชเท้า กก.ละ 20 บาท จาก 30 บาท, คะน้า กก.ละ 20 บาท จาก 40 บาท และ แครอท กก.ละ 12 บาท จาก 18 บาท ขณะที่บางรายการมีราคาทรงตัว เช่น มะระจีน กก.ละ 20 บาท และแตงกวา กก.ละ 18 บาท อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ฝนจะตกต่อเนื่องทั่วประเทศ แต่ลักษณะฝนปีนี้เป็นแบบกระจาย ไม่ตกหนักเฉพาะจุดเหมือนปีก่อน จึงไม่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อแหล่งเพาะปลูก มีเพียงบางพื้นที่ที่ผักเติบโตช้าจากการได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ แต่ไม่มีผลต่อปริมาณรวมของผักที่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะผักใบเขียว ที่เป็นที่ต้องการสูงในช่วงกินเจ ยังมีเพียงพอต่อความต้องการบริโภคแน่นอน สำหรับกรณีผักคะน้าที่ราคาปรับสูงขึ้นบางช่วง ผู้บริหารตลาดศรีเมืองชี้แจงว่า แหล่งผลิตหลักในจังหวัดกาญจนบุรีได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก ทำให้ผลผลิตบางส่วนเสียหาย แต่ยังมีสินค้าทดแทนจากจังหวัดสุพรรณบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาช่วยเสริมปริมาณได้เพียงพอ ทำให้ตลาดยังมีผักคะน้าจำหน่ายอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดตลาด ส่วนที่ปรากฏเป็นข่าวว่าราคาต้นหอมและผักชี ซึ่งเป็นผักที่ไม่ได้ใช้บริโภคในเทศกาลกินเจ มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่สูงเท่าปีก่อน โดยปีนี้ราคาต้นหอมอยู่ที่ กก.ละ 60-80 บาท จาก 150-170 บาท ผักชีอยู่ที่ กก.ละ 100-120 บาท จาก 100-110 บาท เนื่องจากได้รับผลกระทบสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคเหนือ ส่งผลให้ผลผลิตผักใบที่ปลูกมากในจังหวัดเหล่านี้ได้รับความเสียหาย ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม เพื่อะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน กรมได้ทำการเชื่อมโยงผลผลิตพืชผักชนิดต่าง ๆ จากแหล่งผลิตในโซนภาคกลาง และตลาดกลางสินค้าเกษตร ไปจำหน่ายในพื้นที่ประสบปัญหาผักไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค หรือมีแนวโน้มจะมีปัญหาราคาปรับสูงขึ้น นายวิทยากร กล่าวย้ำว่า “ในช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ความต้องการบริโภคผักจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาผักบางชนิดขยับสูงขึ้นบ้างเป็นปกติ แต่ปีนี้สถานการณ์โดยรวมยังถือว่าดีมาก ผลผลิตไม่ได้รับความเสียหาย และราคาหลายรายการยังถูกกว่าปีก่อน จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าสามารถซื้อผักได้ในราคาที่เหมาะสมตลอดเทศกาลกินเจ” กรมการค้าภายในขอเน้นย้ำว่า จะร่วมกับสมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย และผู้ประกอบการตลาดกลางทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์ราคาและปริมาณสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ราคาผักอยู่ในระดับที่เป็นธรรม ทั้งต่อผู้บริโภคและเกษตรกร ทั้งนี้ หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้า หรือพบเห็นการจำหน่ายในราคาสูงเกินสมควร สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือที่ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และสำนักงานชั่งตวงวัดสาขาทั่วประเทศ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบโดยเร็ว กรมฯ ยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผักสดมีเพียงพอตลอดช่วงเทศกาลกินเจปีนี้
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 7/2569 DIT หนุนเกษตรกรเกี่ยวข้าวโพดคุณภาพ พร้อมตรวจเข้มเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น เกษตรกรขายได้ราคาดี (14 ตุลาคม 2568)
DIT หนุนเกษตรกรเกี่ยวข้าวโพดคุณภาพ พร้อมตรวจเข้มเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น เกษตรกรขายได้ราคาดี วันที่ 13 ตุลาคม 2568 นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า “กรมการค้าภายใน (DIT) ได้จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจเฉพาะกิจลงพื้นที่ติดตามการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลให้การซื้อขายระหว่างเกษตรกรและผู้รวบรวมเป็นไปอย่างเป็นธรรม รวมทั้งตรวจสอบเครื่องชั่งและเครื่องวัดความชื้นให้มีความถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคารับซื้อที่เหมาะสมตามคุณภาพของผลผลิตอย่างแท้จริง นายวิทยากรกล่าวเพิ่มว่า ”โดยเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2568 ได้มอบหมายให้นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ประชุมร่วมกับสมาคมการค้าพืชไร่ เพื่อติดตามสถานการณ์การผลิตและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั่วประเทศ พบว่า ขณะนี้มีผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 1.24 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 26 ของผลผลิตรวมทั่วประเทศ โดยราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมล็ดในจังหวัดเพชรบูรณ์อยู่ที่ความชื้น 30% ระหว่าง 6.30 – 7.05 บาทต่อกิโลกรัม และความชื้น 14.5% อยู่ระหว่าง 8.60 – 9.00 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ผู้รวบรวมในหลายพื้นที่รายงานว่าผลผลิตบางส่วนมีความชื้นสูง เนื่องจากเก็บเกี่ยวก่อนครบอายุ ส่งผลให้คุณภาพลดลงและทำให้เพิ่มต้นทุนในการปรับปรุงคุณภาพก่อนจำหน่าย“ นายวิทยากร กล่าวต่อว่า “DIT ขอความร่วมมือพี่น้องเกษตรกรให้เก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมื่ออายุครบ 110–120 วัน เพื่อให้ได้ข้าวโพดแห้งและมีคุณภาพดี ซึ่งจะช่วยให้ขายได้ในราคาที่สูงขึ้น พร้อมกันนี้ กรมฯ จะประสานความร่วมมือกับผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกสายพันธุ์ข้าวโพดที่เหมาะสมกับพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรในระยะยาว” นอกจากนี้ DIT ยังได้กำชับให้ผู้รวบรวมรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ปี 2568/69 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่กำหนดราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สด (เมล็ด ความชื้น 30%) ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ กำแพงเพชร ชัยภูมิ พิจิตร และอุทัยธานี อยู่ที่ 7.05 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ให้เป็นไปตามโครงสร้างราคารับซื้อของแต่ละพื้นที่ โดยเน้นย้ำให้ทุกจุดรับซื้อใช้เครื่องวัดความชื้นที่ผ่านการรับรองตามกฎหมาย และตรวจวัดสิ่งเจือปนอย่างโปร่งใส เพื่อให้เกษตรกรมั่นใจว่าการซื้อขายเป็นไปอย่างเป็นธรรม “หากพบผู้ประกอบการรายใดดำเนินการโดยไม่เป็นธรรม หรือมีพฤติกรรมที่อาจทำให้ราคาผิดไปจากกลไกตลาด จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากพบเห็นการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งข้อมูลหรือร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด เพื่อให้ตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไทยโปร่งใส เป็นธรรม และช่วยให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาดีตลอดฤดูกาล” นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 6/2569 “DIT” ปลุกกระแส เนื้อโคไทย! ปัง สร้างยอดซื้อขายให้เกษตรกรเพิ่มกว่า 15 ล้านต่อปี พร้อมขยายตลาดพรีเมียม (12 ตุลาคม 2568)
“DIT” ปลุกกระแส เนื้อโคไทย! ปัง สร้างยอดซื้อขายให้เกษตรกรเพิ่มกว่า 15 ล้านต่อปี พร้อมขยายตลาดพรีเมียม DIT เผยผลสำเร็จกิจกรรมรณรงค์บริโภคเนื้อโคไทยตลอดเดือนกันยายน ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม พร้อมต่อยอดการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) อย่างต่อเนื่องปีละไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท มุ่งผลักดันเนื้อโคไทยสู่ตลาดพรีเมียมในประเทศและต่างประเทศ วันที่ 11 ตุลาคม 2568 นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ตามที่กรมการค้าภายใน (DIT) ได้จัดกิจกรรม “รณรงค์บริโภคเนื้อโคไทย” ภายใต้คอนเซปต์ “รักแรก รสเนื้อไทย” ผ่านหลาย ๆ กิจกรรมตลอดเดือนกันยายน ผลที่ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการที่เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของเกษตรกรไทยที่ผลิตเนื้อโคคุณภาพ ทั้งกิจกรรมรณรงค์บริโภคเนื้อไทย ที่ถือว่าเป็นการจุดกระแสให้คนไทยหันมานิยมเนื้อโคไทยมากขึ้น พร้อมสร้างช่องทางให้กับเกษตรกรในตลาดอาหารระดับพรีเมียม จากการเจรจาธุรกิจ ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อชั้นนำ อาทิ กลุ่มโรงแรม Marriott, Hyatt, Anantara, Le Cordon Bleu, Tops, CP Axtra, The Mall, Gourmet Market, True Beef, Prime Butcher Thai Wagyu, Best Country Beef และอีกหลายราย ที่สนใจในการนำเนื้อโคไทยไปจำหน่ายและนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร ภายในงานมีการตกลงซื้อขายระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการแล้วในระยะแรก โดยมีมูลค่าการจำหน่ายจะไม่ต่ำกว่า 15 ล้านบาทต่อปี พร้อมมีแผนนำเนื้อไทยเข้าสู่ตลาดออนไลน์ในระยะถัดไป นางสาวญาณี กล่าวเพิ่มว่า “ DIT จะเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อไทยกับผู้ซื้อระดับประเทศ ทั้งห้างค้าส่ง–ค้าปลีก โรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เปิดโอกาสให้เนื้อโคไทยได้เข้าสู่ตลาดระดับบนและขยายฐานผู้บริโภคให้กว้างขึ้น นอกจากนี้ กิจกรรมนี้ถือเป็นจุดสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคเห็นว่า ‘เนื้อโคไทย’ มีคุณภาพ มาตรฐาน และรสชาติไม่แพ้เนื้อนำเข้า แถมยังช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกรไทย และลดการพึ่งพาการนำเข้าในอนาคต” “ผลจากความสำเร็จดังกล่าว ขอบคุณทุกฝ่ายให้การสนับสนุนและเล็งเห็นถึงความสำคัญของสินค้าไทยโดยเฉพาะสินค้าเกษตรปศุสัตว์ไทย โดย DIT เตรียมเดินหน้ากิจกรรมต่อเนื่องเพื่อผลักดันให้คนไทยบริโภคเนื้อโคไทยมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2569 สัดส่วนการบริโภคเนื้อโคไทยในประเทศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดออฟไลน์และช่องทางออนไลน์ สะท้อนถึงความสำเร็จของการสร้าง “แบรนด์เนื้อไทย” ให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ตลาดโคเนื้อไทยเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน” นางสาวญาณี กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
Dit Logo New (2)

ธ สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สอบถามข้อมูล

arrow-down

DIT Chat Service ยินดีให้บริการ

maximize
สอบถามข้อมูลเพิมเติมกับเจ้าหน้าที่ (Admin)

บริการของกรมการค้าภายใน

7422635f-7946-4705-88ec-05d965bd7b40

การขออนุญาตประกอบการค้า

862c658c-96a2-4f51-87cb-7ae89028e48a

สอบถามราคาสินค้าเกษตร

e776ba32-103f-4917-b746-5333af42cf9d

รวบรวมกิจกรรมกรมการค้าภายใน

3e6fa301-b225-4427-b882-4d78e453a2ed

การเดินทางมายังกรมการค้าภายใน

เลขที 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000

โทรศัพท์ 0-2507-5530

โทรสาร: 0-257-5361

E-mail: Saraban@dit.go.th

Call Center: 1569 ร้องเรียน/เสนอแนะ