ข่าวเลขที่ 37/2569 DIT ส่งมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้ครัวเรือนเปราะบางนนทบุรี พร้อมเฝ้าระวังไม่ให้สินค้าขาดแคลนในพื้นที่น้ำท่วมภาคกลาง-ภาคใต้ (21 พฤศจิกายน 2568)
วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ณ อาคารชั่งตวงวัด กระทรวงพาณิชย์ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดภาคกลางช่วงที่ผ่านมา ทั้งในจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้เคียง ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนประสบปัญหาในการดำเนินชีวิตและการเข้าถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น กรมการค้าภายในจึงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานผู้ผลิตและผู้ประกอบการจัดเตรียมสิ่งของยังชีพเร่งด่วนเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยวันนี้ อธิบดีกรมการค้าภายในพร้อมผู้บริหารกรมฯ ได้ส่งมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคและของใช้จำเป็นให้แก่ประชาชนใน ตำบลบางรักใหญ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่กว่า 6,000 คน และได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมในหลายจุด โดยมีทั้งผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้มีรายได้น้อย และครอบครัวที่มีผู้ป่วยจิตเวชซึ่งต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด สิ่งของที่มอบประกอบด้วยอาหารแห้งและของใช้จำเป็น เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ ปลากระป๋อง นม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผงซักฟอก กระดาษทิชชู่ สบู่ แชมพู และยารักษาโรคพื้นฐาน เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยส่งมอบให้กับ ว่าที่ร้อยโทสิทธิโชค ตระกระจ่าง ผู้ใหญ่บ้านตำบลบางรักใหญ่ เพื่อนำไป แจกจ่ายให้ครอบคลุมทั้งตำบล ให้ถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว นายวิทยากร กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ ได้กำชับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดในทุกพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมให้เข้มงวดตรวจสอบราคาและปริมาณสินค้า ไม่ให้เกิดภาวะสินค้าขาดแคลน หรือมีการฉวยโอกาสขึ้นราคา โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน เช่น น้ำดื่ม อาหารแห้ง ไข่ไก่ ผักสด และของใช้ในครัวเรือน อธิบดียังกล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เริ่มขยายวงในพื้นที่ภาคใต้ว่า กรมฯ มีความห่วงใยประชาชนในทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ พร้อมสั่งการให้ทุกพื้นที่ภาคใต้เฝ้าระวังสถานการณ์ราคาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าอุปโภคบริโภคได้อย่างเพียงพอและเป็นธรรมในช่วงวิกฤติ“
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 36/2569 “พาณิชย์” เผย ตลาดข้าวกลับมาคึกคัก ราคาข้าวหอมดีดแตะ 16,000 บาท/ตัน พุ่งขึ้นทันที 1,000 บาท จากมาตรการดูดซับตรงจุดของ นบข.  (21 พฤศจิกายน 2568)
พาณิชย์รายงานราคาข้าวเปลือกหอมมะลิดีดตัวแรงแตะ 16,000 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้นตันละ 1,000 บาท ด้านข้าวเปลือกเจ้า ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด 400 บาท เป็นตันละ 7,200 บาทต่อตัน หลังรัฐบาลเร่งเดินหน้ามาตรการดูแลข้าวทั้งระบบตามมติ นบข. ส่งผลให้ตลาดเกิดการปรับตัวเชิงบวกอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านการรับซื้อ การดูดซับผลผลิต และความเชื่อมั่นของเกษตรกร วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ราคาข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อสินค้าเกษตรหลัก โดยเฉพาะ “ข้าว” ซึ่งเป็นรายได้สำคัญของเกษตรกรทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้กำชับทุกหน่วยงานให้เดินหน้ามาตรการเชิงรุกและลงปฏิบัติการในพื้นที่ทันที เพื่อป้องกันภาวะราคาตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากช่วงปลายปีนี้ อธิบดีกรมการค้าภายใน ระบุว่า ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ล่าสุด เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2568 ได้ออกมาตรการเร่งด่วนในการช่วยดูดซับปริมาณข้าวเปลือกออกจากระบบ รวมทั้งมาตรการก่อนหน้านี้ ทั้งชะลอการขายข้าว มาตรการรับฝากเก็บ รวมถึงการเร่งจัดตลาดนัดข้าวเปลือกทั่วประเทศ เพื่อพยุงราคา สร้างตลาด และเสริมรายได้ให้เกษตรกรในช่วงผลผลิตออกกระจุกตัว โดยสถานการณ์ราคาล่าสุด ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ยืนยันว่ามาตรการทั้งหมดเริ่มเห็นผลชัดเจน ราคาข้าวเปลือกความชื้น 15% ปรับเพิ่มในแทบทุกชนิด โดยข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ 14,700–16,100 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 8,000–8,300 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้า 6,300–7,200 บาทต่อตัน และข้าวเหนียว 7,000–10,000 บาทต่อตัน โดยราคาข้าวเปลือกหอมมะลิได้มีการปรับตัวขึ้นสูงสุด 1,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้าปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด 400 บาทต่อตัน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสัปดาห์ก่อน (14 พ.ย. 68) ถือเป็นหนึ่งฤดูกาลที่ราคาปรับตัวดีขึ้นเร็วที่สุดในรอบหลายปี นายวิทยากร กล่าวต่อว่า “ในส่วนของการดำเนินโครงการตลาดนัดข้าวเปลือก กรมการค้าภายในร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัด โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 และจะจัดต่อเนื่องรวมกว่า 50 ครั้งใน 32 จังหวัด ครอบคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง จนถึงเดือนเมษายน 2569 โดยตลาดนัดข้าวเปลือกเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการจากนอกพื้นที่เข้าไปรับซื้อถึงแหล่งผลิตของเกษตรกร ลดภาระค่าขนส่ง เพิ่มช่องทางขายโดยตรง และแก้ปัญหาบางพื้นที่ที่ไม่มีผู้รับซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ผลการจัดตลาดนัดในช่วงที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ประกอบการหลายรายเข้าไปรับซื้อในราคานำตลาดอย่างคึกคัก โดยราคารับซื้อในพื้นที่ตลาดนัดสูงกว่าตลาดทั่วไปเฉลี่ย 200–400 บาทต่อตัน ทำให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคา ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกในหลายจังหวัดปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สำนักงานชั่งตวงวัดในพื้นที่โดยเฉพาะจุดที่มีการซื้อขายข้าว ได้ลงพื้นที่เพื่อกำกับดูแลการรับซื้อข้าวเปลือกของพี่น้องเกษตรกรโดยตรวจสอบความถูกต้องของการชั่งน้ำหนัก การวัดความชื้น และการหักสิ่งเจือปน รวมถึงการแสดงราคารับซื้อ เพื่อให้การซื้อขายเป็นธรรม เที่ยงตรง และโปร่งใสให้เกษตรกร นายวิทยากรกล่าวทิ้งท้ายว่า “มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกปีการผลิตนี้ของ นบข. และการจัดตลาดนัดข้าวเปลือกทั่วประเทศ ได้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ทั้งในด้านราคาที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่พี่น้องเกษตรกร โดยกรมจะขับเคลื่อนมาตรการต่อเนื่องเพื่อรักษาราคาและสร้างเสถียรภาพให้ตลาดข้าวตลอดฤดูกาลผลิตปีนี้”
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 35/2569 นายกฯ อนุทินประชุม นบข. ปรับโครงสร้างข้าวไทยครั้งใหญ่ รับดีมานด์จีน–สิงคโปร์ หนุนราคา–เร่งดูดซับส่วนเกิน 3 ล้านตัน พร้อมดันข้าวประณีตสู่ตลาดพรีเมียม (18 พฤศจิกายน 2568)
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เวลา 15.00 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าว สมาคมโรงสีข้าว และผู้แทนภาคเกษตรกร อาทิ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า “ปีนี้สถานการณ์ตลาดข้าวโลกมีความผันผวนสูง แต่ก็เปิดโอกาสสำคัญให้ประเทศไทย ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ เยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิงได้กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ว่า จีนจะซื้อข้าวไทย 500,000 ตัน นับเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อราคาข้าวไทย และเป็น “คำสั่งซื้อประวัติศาสตร์” ในวาระการฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย นอกจากนั้น ไทยยังตกลงขายข้าวและอาหารล่วงหน้าให้แก่สิงคโปร์ 100,000 ตัน ซึ่งยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นในข้าวไทย และตอกย้ำความจำเป็นที่เราต้องวางนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา ควบคู่กับ การรักษามาตรฐานของสินค้าข้าวไทย อย่างจริงจัง“ นายอนุทินฯ กล่าวต่อว่า สำหรับที่ประชุม นบข. วันนี้ยึดหลักสำคัญ 3 ประการ คือ1 ) บริหารจัดการราคาข้าวให้อยู่ในระดับเหมาะสม 2) เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทย ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐาน และโลจิสติกส์ และ3) สร้างเสถียรภาพตลาด ทั้ง ตลาดภายในประเทศ และ ตลาดต่างประเทศ ควบคู่กันไป“ ด้านนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ”ที่ประชุมมีมติทบทวนแนวทางดำเนิน “โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69” ให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกเข้าฝากเก็บในยุ้งฉางเป็นระยะเวลา 1–5 เดือน ตั้งเป้าปริมาณ 3 ล้านตันข้าวเปลือก โดยทบทวนราคาสินเชื่อข้าวเจ้า ข้าวปทุมธานี และข้าวเหนียว ให้สอดคล้องกับราคาตลาดปัจจุบัน โดยเกษตรกรที่มียุ้งฉางของตัวเองจะได้ค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน“ นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการจัดทำมาตรการ ภายใต้กรอบแนวคิด “ข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต” (New Rice Economy) โดยมาตรการระยะสั้น เน้นการบริหารจัดการข้าวขาวที่มีส่วนเกิน ได้แก่ โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินจ่ายขาด 1,680 ล้านบาท เพื่อดูดซับซัพพลายในตลาด และระบายออกอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ตลาด และมีแผนนำข้าวเปลือกไปแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุง จำหน่าย เพื่อเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานที่มีความต้องการใช้จริง อาทิ กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) หน่วยงานกองทัพ และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ควบคู่กันที่ประชุมยังได้เห็นชอบเดินหน้า มาตรการระยะยาวเพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิต โดยเฉพาะการ ศึกษาการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด กำหนดกรอบไว้ที่ 1,000,000 ไร่ โดยที่ประชุมมอบหมายให้มีการพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการ รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับปรุงคุณภาพ โดยปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตข้าวคุณภาพสูงหรือข้าวประณีต เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต ช่วยให้มีตลาดรองรับ และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความโดดเด่นของข้าวไทยมากยิ่งขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ข้าวที่มีอัตลักษณ์อื่น ๆ โดยกำหนดเป้าหมายเป็นกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม วงเงินจ่ายขาด 120 ล้านบาท และการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด ซึ่งในพื้นที่ภาคกลางยังขาดข้าวคุณภาพสูงที่มีความหลากหลาย เพื่อนำมาปลูกทดแทนข้าวพื้นแข็ง โดยมอบหมายให้กรมการข้าว ไปศึกษาเพิ่มเติมให้เกิดความเหมาะสมต่อไป กรมการค้าภายในยังเดินหน้า “ตลาดนัดข้าวเปลือก” ทั่วประเทศจำนวนไม่น้อยกว่า 30 จุด ครอบคลุมกว่า 40 จังหวัด เพื่อเปิดพื้นที่ให้โรงสี–ผู้ประกอบการเข้าไปรับซื้อข้าวจากเกษตรกรใน ราคานำตลาด ช่วยเพิ่มช่องทางจำหน่ายและดึงราคาในพื้นที่ให้ขยับขึ้นตามกลไกความต้องการจริง นายวิทยากรระบุว่า ทิศทางราคาข้าวในปีนี้มีสัญญาณเชิงบวกจากทั้งมาตรการบริหารจัดการภายในประเทศ และการเร่งรัดการส่งออก โดยนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย รายงานว่า จากเป้าหมายส่งออกเดิมที่ 7.5 ล้านตัน คาดว่าประเทศไทยจะสามารถส่งออกได้สูงถึง 8–9 ล้านตัน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ราคาข้าวในประเทศมีโอกาสขยับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง สำหรับสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ปี 2568/69 โดยคาดว่าราคาข้าวโลก ปีการผลิต 68/69 จะถูกกดดันจากสต็อกข้าวอินเดียที่เพิ่มขึ้น มากกว่าที่คาดการณ์ การระงับการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ การชะลอนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ของอินโดนีเซีย แต่ยังมีปัจจัยบวกช่วยหนุนราคาข้าว เช่น ผลผลิตข้าวในเวียดนามได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ขณะที่ความต้องการซื้อข้าวหอมมะลิจากตลาดต่างประเทศยังมีต่อเนื่อง สำหรับปัจจุบันในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 ราคาข้าวหลายพื้นที่ขยับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ อยู่ที่ 14,300 - 15,800 บาทต่อตัน ข้าวขาว อยู่ที่ 6,100 - 6,800 บาทต่อตัน ขณะที่ข้าวชนิดอื่นๆ ก็เริ่มปรับราคาสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 34/2569 พาณิชย์ประชุม นบขพ. เดินหน้าดูแลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งระบบ คงมาตรการรับซื้อ–ปูพรมตรวจเข้มฤดูกาล 68/69 (15 พฤศจิกายน 2568)
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เวลา 17.00 น. ณ ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ครั้งที่ 1/2568 ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการดูแลสินค้าเกษตรทุกชนิด โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ จำเป็นต้องมีมาตรการบริหารจัดการแบบรอบด้าน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาควบคู่กับต้นทุนของเกษตรกร ไม่ให้เกิดภาระเกินจำเป็นต่อผู้เลี้ยงสัตว์และผู้บริโภคในระยะยาว โดยกระทรวงพาณิชย์ได้รับฟังข้อมูลและข้อเสนอจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการอาหารสัตว์ โรงงานแปรรูป และสมาคมการค้าพืชไร่ เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการที่จะช่วยรักษาเสถียรภาพราคาและตลาดของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาพรวม” นางศุภจี กล่าวต่อว่า “จากรายงานสถานการณ์ผลผลิตในช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดในปริมาณมาก เพื่อให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรมในการนำผลผลิตไปขาย กรมการค้าภายในและ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดได้มีการเข้าไปตรวจการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่ต้นฤดู เพื่อป้องกันการเอาเปรียบเกษตรกร โดยจะมีการตรวจสอบราคาที่รับซื้อข้าวโพด การหักความชื้น–สิ่งเจือปน และความเที่ยงตรงของเครื่องชั่งทุกจุดรับซื้อ และในช่วงนี้ที่ผลผลิตออกกระจุกตัว ได้ระดมตรวจเข้มการรับซื้อในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ ที่การรับซื้อติดขัด โดยสามารถแจ้งมายังกรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อจะได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบได้ทันที จึงขอให้พี่น้องเกษตรกรเชื่อมั่นว่าจะมีการซื้อขายที่เป็นธรรม” ด้าน นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า “ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ยังคงราคารับซื้อจากเกษตรกรสำหรับข้าวโพดสดความชื้น 30% ในราคา 7.05 บาทต่อกิโลกรัม และราคารับซื้อหน้าโรงงานอาหารสัตว์สำหรับข้าวโพดแห้งความชื้น 14.5% ราคา 9.80 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคารับซื้อจะขึ้นอยู่กับแหล่งผลิตและระยะทาง ซึ่งเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนจริงของเกษตรกร โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกำกับดูแลการรับซื้อในพื้นที่อย่างเข้มงวด หากพบการกดราคา หักความชื้นเกินจริง หรือมีพฤติกรรมไม่เป็นธรรม จะต้องดำเนินการตามกฎหมายทันที นอกจากนี้ การประชุมวันนี้ได้มีการพิจารณายกเว้นมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลีสำหรับผู้ผลิตอาหารกุ้งในปี 2569 จำนวน 6 ราย ปริมาณรวม 134,356 ตัน หลังกรมประมงตรวจสอบข้อมูลการใช้จริงแล้ว โดยการยกเว้นดังกล่าวเป็นรายปี และต้องไม่กระทบต่อเสถียรภาพราคาข้าวโพดและวัตถุดิบอื่นในประเทศ อีกทั้งได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ นบขพ. จำนวน 5 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อก คณะอนุกรรมการบริหารจัดการระดับจังหวัด คณะอนุกรรมการติดตามสถานการณ์ตลาดและวัตถุดิบทดแทน คณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2568–2572 และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการนำเข้าในกรอบ WTO เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและความรัดกุมในการบริหารจัดการทั้งระบบ เพื่อรักษาเสถียรภาพของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งระบบ ” สำหรับผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทย ปีการผลิต 2568/69 คาดว่ามีประมาณ 5.36 ล้านตัน เพิ่มขึ้นราว 8% จากปีก่อน เนื่องจากน้ำดี อากาศดี เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากพืชอื่นมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มากขึ้น โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดราว 34% ของผลผลิตทั้งปี ขณะที่ความต้องการใช้ ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ปี 2568 ปริมาณ 9.2 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% จากปี 2567 จากความต้องการใช้ข้าวโพดในภาคปศุสัตว์ที่ขยายตัว
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 33/2568 พาณิชย์ หารือ 4 สมาคมข้าวและพืชไร่ รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ เตรียมมาตรการดูแลราคาข้าวและพืชผลทางการเกษตร ก่อนเข้า นบข. 18 พ.ย.นี้ (14 พฤศจิกายน 2568)
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับ 4 สมาคมภาคการเกษตร ได้แก่ สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และสมาคมการค้าพืชไร่ โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วม เปิดโอกาสรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะอย่างเต็มที่ โดยมีการขอให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือด้านแหล่งน้ำ เมล็ดพันธุ์ ต้นทุนการผลิต ( ปุ๋ย ยาปราบฯ น้ำมัน) และหาตลาดรองรับผลผลิต และมาตรการอื่นๆ นางศุภจี กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ขอขอบคุณตัวแทนทั้ง 4 สมาคมที่ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับข้าวและพืชไร่ ซึ่งจะนำไปประกอบการพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (นบข.) วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ เพื่อจัดทำมาตรการเพิ่มเติมที่เหมาะสม สมดุลและตอบโจทย์ทุกภาคส่วน นางศุภจี ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ได้รับฟังข้อมูลและข้อเสนอจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปกำหนดแนวทางดูแลชาวนา ชาวไร่ และผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตให้ครอบคลุม รวมถึงได้หารือแนวทางให้เกษตรกรบางส่วนทดลองปลูกพืชทดแทนในพื้นที่ที่เหมาะสม พร้อมหาแนวทางสนับสนุนด้านเงินทุน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น ทั้งนี้ ปีนี้มีปริมาณข้าวเปลือกส่วนเกินในตลาดราว 3–4 ล้านตันข้าวเปลือก กระทรวงพาณิชย์เตรียมมาตรการดูดซับผลผลิตออกจากระบบ เช่น การผลิตข้าวถุงเพื่อจำหน่ายผ่านหน่วยงานรัฐต่างๆภายในประเทศ รวมทั้งเร่งผลักดันการเจรจาส่งออกข้าวแบบรัฐต่อรัฐ เพื่อระบายผลผลิตออกสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ จากการหารือกับสมาคมการค้าพืชไร่ ได้มีข้อเสนอให้คงมาตรการในการกำหนด ราคารับซื้อ ข้าวโพดสด (ความชื้น 30%) ราคา 7.05 บาท/กก. และข้าวโพดแห้ง (ความชื้น 14.5%) ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ราคา 9.80 บาท/กก. รวมถึงกำกับการรับซื้อโรงงานอาหารสัตว์ ให้มีความคล่องตัว ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัด กำกับดูแลการรับซื้ออย่างเข้มข้น ตรวจสอบการรับซื้อหากพบการรับซื้อที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข และไม่เป็นธรรม จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อไป
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 32/2569 DIT ลุยตรึงราคาผักชีปลายฝน! เร่งกระจายผลผลิตจากแหล่งอื่นเข้าทดแทน คาดราคาลดลงสัปดาห์หน้า (12 พฤศจิกายน 2568)
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า “กรมการค้าภายใน (DIT) ได้ติดตามสถานการณ์การจำหน่ายผักในตลาดช่วงปลายฤดูฝน พบว่า “ผักชี” เป็นผักที่มีราคาจำหน่ายปรับสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยราคาผักชีเกรดดีที่มีความสมบูรณ์เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 250 บาท (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เฉลี่ยอยู่ราวกิโลกรัมละ 130 บาท) ขณะที่ผักชีเกรดรอง ซึ่งได้รับความเสียหายบางส่วนจากฝนตก ยังคงมีจำหน่ายในตลาดในราคาประมาณ 130 บาทต่อกิโลกรัม โดยกรมการค้าภายใน ได้เร่งดำเนินการประสานความร่วมมือกับสมาคมตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทยและภาคเอกชน เพื่อกระจายผลผลิตจากแหล่งปลูกอื่นเข้าทดแทนในตลาด และลดความตึงตัวของราคา คาดว่าภายในสัปดาห์หน้า เมื่อผลผลิตจากแหล่งใหม่ทยอยออกสู่ตลาด ราคาผักชีจะเริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นายวิทยากร กล่าวเพิ่มว่า “ในส่วนของสาเหตุของการปรับขึ้นราคาผักในช่วงนี้ มาจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะน้ำท่วมในพื้นที่เพาะปลูกที่ทำให้ผักบางส่วนได้รับความเสียหาย และสภาพอากาศที่มีฝนตกต่อเนื่อง ทำให้เกษตรกรไม่สามารถเตรียมแปลงเพาะปลูกใหม่ได้ทัน อีกทั้งผักชีที่อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวถูกฝนชุก ทำให้ใบช้ำหรือเน่า ต้องคัดแยกมากขึ้น ส่งผลให้ผักชีที่มีคุณภาพดีมีปริมาณลดลง ราคาจึงปรับสูงขึ้นตามคุณภาพสินค้า สำหรับพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งไม่ใช่แหล่งปลูกหลัก ต้องขนส่งผักชีจากภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปจำหน่าย ทำให้ใช้เวลาขนส่งนานขึ้น ประกอบกับผักชีเป็นผักที่เน่าเสียง่าย จึงเกิดการสูญเสียระหว่างทางบางส่วน ส่งผลให้ผักชีเกรดสมบูรณ์มีราคาสูงกว่าปกติ “กรมการค้าภายใน ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ดังกล่าว ได้เร่งประสานความร่วมมือกับสมาคมตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย รวมถึงผู้ประกอบการค้าส่ง–ค้าปลีก และเครือข่ายสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อบริหารจัดการผลผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยเฉพาะการนำผักชีจากแหล่งเพาะปลูกอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เช่น จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ ลพบุรี และสระบุรี เข้ามาทดแทนในตลาด เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน กรมฯ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในทุกภูมิภาค และพร้อมเชื่อมโยงแหล่งผลิตอื่น กระจายไปในทุกพื้นที่อย่างทันท่วงที เพื่อดูแลราคาผักให้ปกติในตลอดช่วงปลายฤดูฝนนี้” นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 31/2569 พาณิชย์ลดค่าธรรมเนียมส่งออกข้าว หนุนเกษตรกร–รายย่อยโกอินเตอร์ ขยายตลาดข้าวไทยทั่วโลก (12 พฤศจิกายน 2568)
กระทรวงพาณิชย์ประกาศใช้กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการประกอบการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตส่งออกข้าวให้เกษตรกรและสหกรณ์ พร้อมปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการส่งออกข้าวไทยสู่ตลาดต่างประเทศ มาตรการนี้คาดว่าจะช่วยขยายปริมาณการส่งออกโดยรวมของประเทศ และส่งผลเชิงบวกต่อราคาข้าวในประเทศในระยะต่อไป นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า การปรับปรุงค่าธรรมเนียมในครั้งนี้มุ่งสร้างโอกาสใหม่ให้เกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการข้าวรายย่อย สามารถเข้าถึงตลาดส่งออกได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีศักยภาพในการผลิตข้าวคุณภาพสูงแต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและภาระค่าใช้จ่าย การปรับลดและยกเว้นค่าธรรมเนียมครั้งนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ผลิตไทยให้เข้าสู่ระบบการค้าโลกได้อย่างเท่าเทียม นายวิทยากร กล่าวต่อว่า การปรับอัตราใหม่ได้กำหนดให้กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตส่งออกข้าว ขณะที่ผู้ประกอบการข้าวรายย่อยที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 10 ล้านบาท ชำระเพียง 10,000 บาท จากเดิม 50,000 บาท ส่วนผู้ประกอบการที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 20 ล้านบาท ปรับลดเหลือ 30,000 บาท และสำหรับผู้ส่งออกข้าวสารบรรจุกล่องหรือหีบห่อ ปรับลดค่าธรรมเนียมเหลือ 10,000 บาท จากเดิม 20,000 บาท ขณะที่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่สามารถเริ่มต้นธุรกิจส่งออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การออกกฎกระทรวงฉบับใหม่นี้ยังเป็นการต่อยอดจากมาตรการก่อนหน้า ที่ได้ยกเว้นการถือสต๊อกข้าวส่งออกให้เกษตรกรและสหกรณ์ และปรับลดปริมาณสต๊อกขั้นต่ำของผู้ส่งออกข้าวรายย่อยจาก 500 ตัน เหลือเพียง 100 ตัน เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถดำเนินธุรกิจส่งออกได้จริง เป็นการสร้างระบบการค้าที่เปิดกว้างและส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่สมดุล นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้ายว่า ข้าวไทยถือเป็นสินค้าที่ตลาดโลกให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง การลดค่าธรรมเนียมครั้งนี้จะช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถสร้างแบรนด์ของตนเองได้มากขึ้น เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศโดยตรง และเพิ่มรายได้ให้ชุมชนในระยะยาว มาตรการนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และผลักดันข้าวไทยให้เป็นสินค้าที่มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลกการลดค่าธรรมเนียมครั้งนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังเป็นการขยายโอกาสทางการค้าให้ผู้ผลิตไทยทุกกลุ่มมีส่วนร่วมในการส่งออกข้าว เพิ่มปริมาณการค้าระหว่างประเทศของไทย และสร้างแรงหนุนสำคัญให้ราคาข้าวในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้นในระยะต่อไป.
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 30/2569 “ศุภจี” เผย นบมส.ทุ่มงบ 1.28 พันล้านบาท ดูแลเสถียรภาพมันสำปะหลัง หนุนผลผลิตคุณภาพดี–คุมโรคใบด่าง–ขยายตลาดเพิ่มรายได้เกษตรกร
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ครั้งที่ 1/2568 ที่กระทรวงการคลัง ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลเสถียรภาพสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ “มันสำปะหลัง” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ และเป็นหนึ่งใน 7 ประเด็นภายใต้นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งแก้ปัญหาสินค้าเกษตรผ่านการบริหารสมดุลอุปสงค์–อุปทาน และลดภาระต้นทุนของเกษตรกร โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางขับเคลื่อน 4 มาตรการสำคัญ รวม 8 โครงการ ใช้งบประมาณรวมกว่า 1,279.22 ล้านบาท เพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังปี 2568/69 ครอบคลุมทั้งด้านการผลิต การตลาด และการควบคุมศัตรูพืช มาตรการที่ 1 คือการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ใช้งบประมาณ 453.15 ล้านบาท เพื่อชะลอการเก็บเกี่ยวและชดเชยดอกเบี้ยให้ลานมัน โรงแป้ง โรงงานเอทานอล และสถาบันเกษตรกร เพิ่มสภาพคล่องและลดแรงกดดันราคาช่วงผลผลิตออกมาก โดยมีโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง เป้าหมาย 6 ล้านตัน โครงการชะลอการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป้าหมาย 50,000 ครัวเรือน และโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมผลผลิตมันสำปะหลังของสถาบันเกษตรกร เป้าหมาย 200,000 ตัน มาตรการที่ 2 ส่งเสริมการผลิตและการแปรรูป โดยสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าถึงพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพดี ทนโรค และให้ผลผลิตสูง พร้อมเพิ่มมูลค่าผลผลิต ผ่านโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูก (เป้าหมาย 3,000 ราย) และโครงการยกระดับศักยภาพการแปรรูปหรือเครื่องสับมัน (เป้าหมาย 380 เครื่อง) มาตรการที่ 3 เป็นการเพิ่มช่องทางการตลาด โดยสนับสนุนค่าขนส่ง 500 บาทต่อตันให้ผู้รับซื้อนอกพื้นที่ เป้าหมาย 200,000 ตัน เพื่อกระจายผลผลิตและเชื่อมโยงตลาดระหว่างภูมิภาค ส่วนมาตรการที่ 4 มุ่งแก้ไขปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลัง โดยอนุมัติโครงการสนับสนุนท่อนพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพดี วงเงิน 25.75 ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อจัดหาและกระจายพันธุ์มันสำปะหลังคุณภาพดี เป้าหมาย 5 ล้านลำ แบบเร่งด่วน และโครงการบริหารจัดการพันธุ์มันสำปะหลังเพื่อควบคุมโรคใบด่างและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในระยะยาว วงเงิน 800.322 ล้านบาท จากงบกลาง เพื่อขยายพันธุ์ต้านทานโรคในช่วงปี 2569–2571 รวมกว่า 262 ล้านลำ โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณารายละเอียดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ นบมส. จำนวน 5 คณะ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในระดับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารจัดการระดับจังหวัด การชดเชยดอกเบี้ย การควบคุมศัตรูพืช และการจัดทำยุทธศาสตร์มันสำปะหลังระยะ 5 ปี (2569–2573) สำหรับสถานการณ์มันสำปะหลัง จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดว่า ปีการผลิต 2568/69 จะมีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.12 ล้านไร่ ลดลงร้อยละ 6 ผลผลิตรวมประมาณ 25.56 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 5 ขณะที่ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3,148 กิโลกรัมต่อไร่ ความต้องการใช้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่ที่ 38–40 ล้านตันต่อปี โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะออกสู่ตลาดระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2569 ราคามันสำปะหลังเฉลี่ย (1–7 พฤศจิกายน 2568) อยู่ที่ 2.18 บาทต่อกิโลกรัม แนวโน้มอ่อนตัวจากคุณภาพผลผลิตลดลง เนื่องจากโรคใบด่างและการเก็บเกี่ยวก่อนอายุครบกำหนด “ที่ประชุมคณะกรรมการฯ ได้พิจารณามาตรการช่วยเหลือในทุกประเด็นที่เป็นความกังวลของทุกภาคส่วน โดยมุ่งให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างยั่งยืน ผ่านการกำหนดกรอบแนวทางระยะยาว เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับภาคเกษตร และลดผลกระทบต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด ทั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้รับประโยชน์สูงสุด” นางศุภจี กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
Dit Logo New (2)

ธ สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สอบถามข้อมูล

arrow-down

DIT Chat Service ยินดีให้บริการ

maximize
สอบถามข้อมูลเพิมเติมกับเจ้าหน้าที่ (Admin)

บริการของกรมการค้าภายใน

7422635f-7946-4705-88ec-05d965bd7b40

การขออนุญาตประกอบการค้า

862c658c-96a2-4f51-87cb-7ae89028e48a

สอบถามราคาสินค้าเกษตร

e776ba32-103f-4917-b746-5333af42cf9d

รวบรวมกิจกรรมกรมการค้าภายใน

3e6fa301-b225-4427-b882-4d78e453a2ed

การเดินทางมายังกรมการค้าภายใน

เลขที 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000

โทรศัพท์ 0-2507-5530

โทรสาร: 0-257-5361

E-mail: Saraban@dit.go.th

Call Center: 1569 ร้องเรียน/เสนอแนะ