ข่าวเลขที่ 29/2568 DIT เกาะติดไข่ไก่ ยันสถานการณ์ราคาดีขึ้น พร้อมเปิดจุดขายไข่ไก่ทั่วประเทศ เชื่อมโยงไข่จากเกษตรกรไปยังผู้บริโภค (7 พฤศจิกายน 2568)
กรมการค้าภายในเกาะติดสถานการณ์ไข่ไก่ ยันราคาเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากพ้นช่วงกินเจ และมีการใช้โครงการคนละครึ่งพลัส ประกอบกับในช่วงเปิดเทอม และในช่วงปีใหม่ จะทำให้ความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น เตรียมช่วยเกษตรกรระบายผลผลิต เชื่อมโยงไข่ไก่จากแหล่งผลิต กระจายผ่านเครือข่ายสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เป้าหมาย 3.5 ล้านฟอง ช่วยทั้งประชาชนเข้าถึงไข่ไก่ได้ง่ายในราคาเหมาะสม และช่วยเกษตรกรมีช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้น นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (DIT) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มปรับลดลงมาอยู่ที่ฟองละ 3.00 บาท ว่า กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการติดตามสถานการณ์ราคาอย่างใกล้ชิด และได้มีการหารือเบื้องต้นกับเครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทราบว่า ปัจจุบันปริมาณไข่ไก่สะสมในระบบค่อนข้างมาก เป็นผลมาจากช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปริมาณผลผลิตไข่ไก่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง จากสภาพอากาศที่เย็นลง เอื้ออำนวยต่อการให้ไข่ของไก่ไข่ ในขณะที่ภาวะการค้าและการบริโภคชะลอตัว จากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ประกอบกับโรงเรียนปิดเทอม และเทศกาลกินเจ ส่งผลให้มีไข่ไก่สะสมอยู่ในระบบเพิ่มขึ้น แต่ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มดีขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง พลัส ทำให้ภาวะการค้าคล่องตัวเพิ่มขึ้น นายวิทยากร กล่าวว่า “จากการติดตามสถานการณ์ล่าสุด ทั้งการสอบถามผู้ค้าไข่ไก่ และเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ได้ข้อมูลว่า ตั้งแต่มีการเปิดเทอม และมีการเริ่มโครงการคนละครึ่ง พลัส ทำให้ระบายไข่ไก่ได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไข่ไก่เริ่มทยอยออกจากระบบ ทำให้สต๊อกส่วนเกินลดลง และราคาเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แนวโน้มราคาไข่ไก่อาจทรงตัวหรือปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระยะต่อไป จากภาวะการค้าและการบริโภคที่มีแนวโน้มฟื้นตัวตามโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยเกษตรกรเพิ่มช่องทางกระจายจำหน่ายไข่ไก่ และสร้างแรงจูงใจในการบริโภคไข่ให้แก่ประชาชนเพิ่มขึ้น กรมจะดำเนินการเชื่อมโยงไข่ไก่จากเกษตรกรในแต่ละพื้นที่เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภค ในราคาที่เหมาะสม โดยดำเนินการผ่านสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เป้าหมายระบายไข่ไก่ 3.5 ล้านฟอง ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 17-23 พ.ย. 2568 และกรมพร้อมที่จะพิจารณาใช้มาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อดูแลเกษตรกรให้ได้รับความเป็นธรรมในการขายผลผลิตไข่ไก่” อย่างไรก็ดี ในด้านของผู้บริโภค นายวิทยากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ไข่ไก่นับเป็นอาหารโปรตีนคุณภาพดี ราคาย่อมเยา และเป็นวัตถุดิบสำคัญในครัวเรือนที่สามารถปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้ในราคาที่เข้าถึงได้ทุกครัวเรือน จึงขอเชิญชวนประชาชนบริโภคไข่ไก่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังเป็นการช่วยเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ให้สามารถระบายผลผลิตได้มากขึ้น เป็นการช่วยเหลือกันในระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 28/2568 “สุขกาย สบายกระเป๋า” ได้ผลจริง! พาณิชย์–สาธารณสุขยืนยัน เข้าถึงง่าย ประหยัดจริง (6 พฤศจิกายน 2568)
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 — นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการดำเนินโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” หลังนายกรัฐมนตรีได้คิกออฟเปิดตัวตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.68 โดยได้ร่วมกับ ภก.เลิศชาย เลิศวุฒ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ณ โรงพยาบาลพระราม 9 และร้านขายยา Top Care , Boots และ Watsons ที่ห้างเซ็นทรัล พระราม 9 การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการให้บริการจริงของโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่การลงทะเบียน พบแพทย์ รับใบสั่งยา ไปจนถึงการนำใบสั่งยาไปซื้อยาภายนอก เพื่อยืนยันว่าประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวก และลดค่าใช้จ่ายได้จริง นายวิทยากร กล่าวว่า “วันนี้เพื่อให้เห็นภาพจริงในการรับบริการใน ”โครงการ สุขกาย สบายกระเป๋า“ ทั้งที่โรงพยาบาลเอกชนและร้านขายยา จึงได้แสดงเป็น “ผู้ป่วยจำลอง” ที่มีอาการไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และนอนไม่หลับเป็นภาวะแทรกซ้อน โดยหากเข้ารับการรักษาและซื้อยาทั้งหมดจากโรงพยาบาลเอกชน จะมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 10,370 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่ายา จากการทดลองใช้สิทธิ์ตามโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” นายวิทยากรได้นำใบสั่งยาจำนวน 4 รายการ ไปซื้อที่ร้านขายยาภายนอก และรับเฉพาะยาควบคุมพิเศษ 1 รายการ ค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลจึงเหลือเพียง 1,670 บาท (รวมค่าตรวจ ค่าบริการทางการแพทย์ และค่ายาควบคุมพิเศษ) หลังจากนั้น ได้มีการนำใบสั่งยาจากโรงพยาบาลพระราม 9 ดังกล่าว มาทดลองซื้อจริงที่ ร้านยา Tops Care ภายในห้างเซ็นทรัลพระราม 9 ซึ่งเป็นร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ภายใต้ระบบ “ร้านยาใกล้ฉัน” ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าสามารถนำใบสั่งยามาซื้อยาได้โดยตรง โดยมีเภสัชกรประจำร้านให้คำแนะนำอย่างครบถ้วน ทั้งชื่อสามัญของยา วิธีใช้ ขนาดการรับประทาน และข้อควรระวังของแต่ละโรค เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีคุณภาพเทียบเท่ากับยาที่จ่ายจากโรงพยาบาล โดย ค่ายา 4 รายการที่นำมาซื้อตามใบสั่งยา มีราคาทั้งหมดเพียง 3,863 บาท เมื่อเทียบกับราคาค่ายาเดิมของโรงพยาบาลที่อยู่ที่ 8,700 บาท จะเห็นว่ามีส่วนต่างที่ประหยัดได้ถึง 4,837 บาท “พูดง่าย ๆ คือ จากเดิมที่ต้องจ่ายกว่า 10,000 บาท วันนี้เหลือจ่ายจริงเพียงประมาณ 5,500 บาท ประหยัดเงินไปเกินครึ่ง หรือกว่า 4,500 บาท ซึ่งเป็นเงินที่กลับไปอยู่ในกระเป๋าของประชาชนโดยตรง” นายวิทยากรกล่าว นายวิทยากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งโรงพยาบาลพระราม 9 ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ และร้านขายยาทั้งสามแห่งที่เรามาติดตามในวันนี้ ได้ติดตั้งโลโก้และสติกเกอร์ “สุขกาย สบายกระเป๋า” อย่างชัดเจนในจุดให้บริการต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนสังเกตได้ง่าย พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเข้าใจหลักเกณฑ์ของโครงการและพร้อมให้บริการแก่ผู้ป่วยที่ประสงค์จะเลือกซื้อยาเอง“ ด้านสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รายงานว่า ปัจจุบันมีร้านขายยาที่ผ่านการรับรองและเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 3,400 ร้านทั่วประเทศ และจำนวนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยร้านที่เข้าร่วมจะต้องมีเภสัชกรประจำร้านและจำหน่ายยาที่มีมาตรฐานเดียวกับโรงพยาบาล เพื่อให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าจะได้รับยาที่มีคุณภาพและปลอดภัย “โครงการสุขกาย สบายกระเป๋า เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนโดยสมัครใจ เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกใหม่ในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในการลดภาระค่าครองชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน” นายวิทยากร กล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 27/2568 พาณิชย์เอาจริง! กำชับร้านค้าคนละครึ่งพลัสแสดงราคาสุทธิให้ชัด ต้องขายราคาเดียวกับเงินสด–ห้ามฉวยโอกาสขึ้นราคา (6 พฤศจิกายน 2568)
กรมการค้าภายใน (DIT) กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้นโยบายของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้ากำกับดูแลร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” อย่างเข้มงวด กำชับให้ราคาจำหน่ายจริงตรงกับราคาที่แสดง ห้ามบวกค่าใช้จ่ายอย่างอื่นภายหลัง และต้องจำหน่ายสินค้าในราคาเดียวกันทั้งกรณีชำระเงินสดและใช้สิทธิ์ผ่านโครงการ หากฝ่าฝืน จะถูกดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท และหากพบกรณีมีพฤติกรรมฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ประชุมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อกำหนดแนวทางให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำร้านค้าทุกราย โดยเน้นย้ำว่าร้านค้าต้องติดป้ายแสดงราคาจำหน่ายสุดท้ายที่รวมภาษีไว้แล้ว ซึ่งหากร้านอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาสินค้าทุกรายการต้องแสดงราคาจำหน่ายที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ไว้แล้ว โดยหากร้านค้าที่เป็นร้านอาหาร จะต้องมีการแสดงราคาอาหารและหากมีรายการค่าใช้จ่ายอื่นต้องแสดงไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ประชาชนได้เปรียบเทียบก่อนซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการ และกรณีร้านค้าที่เข้าโครงการคนละครึ่งพลัส ร้านค้าต้องจำหน่ายสินค้าในราคาที่เท่ากันทั้งผู้ใช้สิทธิ์คนละครึ่งและผู้ชำระเงินสด เพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อผู้บริโภคทุกกลุ่ม โดยระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2568 กรมการค้าภายในได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนทั่วประเทศจำนวน 112 เรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร การไม่ติดป้ายราคา การคิดราคาสินค้าเพิ่มเมื่อใช้สิทธิ์คนละครึ่ง และการแสดงราคาจำหน่ายปลีกไม่ตรงกับราคาที่จำหน่าย ขณะที่กรณีร้องเรียนเรียกเก็บ VAT เพิ่มเติมจากราคาที่ติดป้ายแสดง แต่ถือเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายเอาเปรียบประชาชนและต้องถูกดำเนินคดีอย่างเข้มงวด นายวิทยากร ยังกล่าวต่ออีกว่า “กรมการค้าภายในได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้าที่ถูกร้องเรียนในพื้นที่ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่สายตรวจได้มีการล่อซื้อสินค้าจากร้านค้า และพบพฤติกรรมการจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงขึ้นเมื่อจะใช้สิทธิ์ในโครงการคนละครึ่งพลัส และยังมีการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่าย เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ฉบับที่ 68 พ.ศ. 2568 ข้อ 3 และข้อ 11 เข้าข่ายผิดตามมาตรา 28 และมีโทษตามมาตรา 40 ของพระราชบัญญัติฯ พร้อมปรับเป็นจำนวนเงิน 2,000 บาท ส่วนในจังหวัดบุรีรัมย์ ตรวจสอบขยายผลจากการร้องเรียน พบว่าร้านค้ายอมรับว่ามีการคิดราคาจำหน่ายสินค้าโดยบวกภาษีมูลค่าเพิ่มจากประชาชนอีก 7% เพิ่มจากราคาป้ายแสดงราคา โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดแจ้งข้อหาจำหน่ายสินค้าไม่ตรงกับป้ายราคาที่แสดง และปรับเป็นเงินจำนวน 1,000 บาท พร้อมชี้แจงแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่งร้านค้าได้รับว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง นอกจากนี้ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดขอนแก่นได้ตรวจสอบร้านค้าธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นแห่งหนึ่งในตำบลแดงใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พบว่ามีการรับแลกสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเงินสด ทั้งที่ร้านปิดกิจการมานานกว่า 3 เดือน ซึ่งเข้าข่ายผิดเงื่อนไขโครงการ เจ้าหน้าที่ได้เพิกถอนสิทธิ์เข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้า และแจ้งกรมบัญชีกลางระงับการใช้งานแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ทันที เพื่อป้องกันการนำสิทธิ์ของประชาชนไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง“ นายวิทยากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ”นอกจากนี้ ในส่วนของร้านค้าที่เป็น ร้านค้าธงฟ้าทุกแห่ง ต้องปฏิบัติตาม กฎหมายของกรมการค้าภายในและ “กฎเหล็กร้านธงฟ้า” อย่างเคร่งครัดด้วย ได้แก่ ห้ามแลกสิทธิสวัสดิการเป็นเงินสด ห้ามบังคับซื้อสินค้า ห้ามขายเกินราคา หรือฉวยโอกาสขึ้นราคา ห้ามจำหน่ายสุรา บุหรี่ เบียร์ และห้ามปฏิเสธการใช้สิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ หากฝ่าฝืนจะถูกเพิกถอนสิทธิ์เข้าร่วมโครงการทันที“ ”กรมการค้าภายในยังคงติดตาม ตรวจสอบ และให้ความรู้แก่ร้านค้าทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้องและป้องกันปัญหาความเข้าใจกฎหมายคลาดเคลื่อน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นร้านค้าฝ่าฝืน ไม่ติดป้ายแสดงราคาจำหน่าย หรือคิดราคาไม่ตรงป้าย หรือฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ที่ สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันรักษาความเป็นธรรมทางการค้าและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างทั่วถึง“ นายวิทยากร กล่าว
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 26/2568 DIT ลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้าช่วงเทศกาลลอยกระทง ย้ำดูแลราคายุติธรรม พร้อมแนะประชาชนเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ (5 พฤศจิกายน 2568)
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันลอยกระทง วันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 กรมการค้าภายในได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สายตรวจลงพื้นที่ตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าที่ใช้ในช่วงเทศกาลลอยกระทงระหว่างวันที่ 3 – 5 พฤศจิกายน 2568 เพื่อป้องกันการจำหน่ายสินค้าที่เอาเปรียบผู้บริโภค โดยลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณย่านปากคลองตลาดและตลาดยอดพิมาน ซึ่งเป็นแหล่งค้าดอกไม้และวัสดุประดิษฐ์กระทงที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบพบว่า ราคาจำหน่ายสินค้าโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เช่น ใบตองมัดละ 1 กก. ประมาณ 25 บาท หยวกกล้วยชิ้นละ 5–20 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาด) กลีบกระดาษกระทง มัดละ 5 บาท ดอกบัว (10 ดอก) มัดละ 40-80 บาท ดอกบานไม่รู้โรย 1 กก. ถุงละ 150-200 บาท ดอกกล้วยไม้ 1 กก. ถุงละ 40-60 บาท ดอกรัก ขีดละ 30-40 บาท ดอกพุด ขีดละ 7-10 บาท และธูปเทียนคู่ละ 5–20 บาท โดยในส่วนของ กระทงสำเร็จรูป มีหลากหลายรูปแบบให้ประชาชนเลือกซื้อ ทั้งกระทงใบตอง กระทงขนมปัง กระทงอาหารปลาข้าวโพด และกระทงจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งมีราคาจำหน่ายแตกต่างกันไปตามขนาด รูปแบบ และความประณีตในการประดิษฐ์ เช่น กระทงใบตองสำเร็จรูปขนาด 6-8 นิ้ว มีราคาตั้งแต่ 70-100 บาท กระทงอาหารปลาข้าวโพด ขนาด6-8 นิ้ว มีราคา 25-60 บาท กรมการค้าภายในขอเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าช่วงเทศกาลปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการปิดป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนสามารถเปรียบเทียบราคาได้ก่อนตัดสินใจซื้อ และเพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค หากพบผู้ประกอบการไม่ปิดป้ายแสดงราคา จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนผู้ที่จำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้า หรือปฏิเสธการจำหน่าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ บรรยากาศการจัดงานลอยกระทงทั่วประเทศยังคงมีขึ้นตามประเพณี แต่ปรับให้เหมาะสมกับช่วงแสดงความอาลัยต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเน้นความเรียบง่าย สงบ งดงาม และสมพระเกียรติ ขณะเดียวกัน ประชาชนยังคงให้ความสนใจร่วมงานและเลือกซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการประดิษฐ์กระทงด้วยตนเอง เพื่อร่วมสืบสานประเพณีไทยอย่างงดงาม “กรมการค้าภายในขอเชิญชวนประชาชนตรวจสอบราคา เปรียบเทียบคุณภาพก่อนซื้อสินค้า และหากไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านราคา ปริมาณ หรือพบเห็นการจำหน่ายสินค้าที่เอาเปรียบผู้บริโภค สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เร่งดำเนินการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาโดยเร็ว” นายวิทยากร กล่าว
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 25/2569 นายกฯ “อนุทิน” เปิดตัวโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ขับเคลื่อน Big Quick Win ยกระดับระบบสุขภาพไทย ลดค่าครองชีพประชาชนกว่า 3 หมื่นล้านบาท (4 พฤศจิกายน 2568)
นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล Kick Off โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ผนึกพาณิชย์ สาธารณสุข โรงพยาบาลเอกชน ร่วมกันลดค่าครองชีพประชาชน วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าภายใน) กระทรวงสาธารณสุข (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน จับมือร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” โดยมีนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เป็นประธานแถลงข่าว พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางศุภจี สุธรรมพันธุ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายพัฒนา พร้อมพัฒน์) ร่วมเป็นสักขีพยาน โดย มีเป้าหมายให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา และเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อยา ภายนอกโรงพยาบาลได้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มมากขึ้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดี ที่จะทำให้ประชาชนมีทางเลือกด้านการรักษาพยาบาล รวมทั้งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ประชาชนให้มีสุขภาพที่แข็งแรงและมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ตามที่ได้มอบนโยบายให้กระทรวง พาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุข ในการหาแนวทางแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด่านการรักษาพยาบาล ร่วมกัน ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบาย Quick Big Win “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ด้านการลด ค่าครองชีพของรัฐบาลตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว ถือเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างภาครัฐและ เอกชนในการเปิดเผยรายการยาและค่ายา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้รับบริการในโรงพยาบาล เอกชนสามารถตัดสินใจเลือกซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลได้ อันเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมแล้วมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการคัดเลือกร้านขายยาเข้าร่วมโครงการฯ โดยประชาชนสามารถนำใบสั่งยาจาก โรงพยาบาลเอกชนไปซื้อยาที่ร้านขายยาที่ลงทะเบียนกับทาง อย. และมีตราสัญลักษณ์โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ซึ่งขณะนี้มีจำนวนมากกว่า 3,400 ร้าน หรือผ่านช่องทาง Telepharmacy ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสภาเภสัชกรรม โดยสามารถปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับยาและราคายา ได้ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าได้ซื้อยาจากร้านขายยาที่มีคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งคาดว่า จะช่วยลดค่าครองชีพได้ ไม่น้อยกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี นายอนุทิน กล่าวทิ้งท้ายว่า “รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและ ภาคเอกชนในครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แบ่งเบาภาระค่าครองชีพ อันเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 24/2569 “ธงเขียว–ธงฟ้า บุกอุบลฯ!” DIT ลุยลดต้นทุน–ค่าครองชีพ ช่วยพี่น้องชายแดนสู้เศรษฐกิจ (4 พฤศจิกายน 2568)
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน มอบหมายให้ นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามการจัดงาน “ธงเขียวราคาประหยัด” และร่วมเปิดงาน “ธงฟ้าเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน” ซึ่งเป็นโครงการภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งลดภาระค่าครองชีพ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย และช่วยเหลือพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน นางสาวญาณีฯ กล่าวว่า “ในช่วงฤดูกาลผลิตสินค้าเกษตร พี่น้องเกษตรกรมีความต้องการใช้ปุ๋ย และเคมีการเกษตรในการบำรุงต้นพันธุ์ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีทั้งคุณภาพและปริมาณ กรมการค้าภายใน จึงได้จัดกิจกรรมลดราคาต้นทุนให้พี่น้องเกษตรกร วันนี้จึงได้จัด “ธงเขียว ราคาประหยัด” ณ สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. จังหวัดอุบลราชธานี จำกัด เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร โดยเฉพาะผู้ปลูกข้าวโพด ถั่ว พริก และพืชหลังนา ภายในงานมีการจำหน่ายปุ๋ยเคมี 6 สูตรยอดนิยม ได้แก่ 46-0-0, 15-15-15, 16-16-8, 16-20-0, 16-8-8 และ 15-5-20 ในราคาพิเศษ ลดสูงสุดถึง 200 บาทต่อกระสอบ พร้อมมอบคูปองส่วนลด 50 บาท สำหรับซื้อสารเคมีเกษตร เช่น ยาฆ่าแมลงและยาปราบศัตรูพืช เพื่อให้เกษตรกรสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการดังกล่าวจัดมาแล้วใน 9 จังหวัดทั่วประเทศและได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากเกษตรกร โดยสามารถลดต้นทุนได้จริงโดยไม่กระทบคุณภาพสินค้า สำหรับจังหวัดอุบลราชธานีถือเป็นพื้นที่จัดงานลำดับที่ 10 ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากและเตรียมขยายผลต่อเนื่องไปยังจังหวัดชายแดนอื่น ๆ ภายใต้แนวคิด “ปุ๋ยถูก ยาดี ต้องที่ธงเขียว” นางสาวญาณีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะเดียวกันนี้ กรมฯ ยังได้จัดกิจกรรมงาน “ธงฟ้าเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน จังหวัดอุบลราชธานี” ระหว่างวันที่ 3 – 5 พฤศจิกายน 2568 ณ ตลาดเจริญศรี อำเภอวารินชำราบพร้อมกันด้วย โดยในงานธงฟ้า ได้รับเกียรติจาก ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นายชำนาญ ชื่นตา เป็นประธานในพิธีเปิด โดยธงฟ้าราคาประหยัด จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงส่งเสริมการเชื่อมโยงสินค้าระหว่างจังหวัดและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการรายกลาง รายย่อย และวิสาหกิจชุมชน ภายในงานมีการนำสินค้าอุปโภคบริโภค 10 หมวดหมู่ กว่า 500 รายการ มาจำหน่ายในราคาลดสูงสุดถึง 60% อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ซอสปรุงรส น้ำยาซักผ้า เครื่องใช้ในครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแต่งกาย และสินค้าชุมชนจากจังหวัดระยองและอีก 6 จังหวัดชายแดน พร้อมจำหน่ายสินค้าไฮไลต์ราคาพิเศษ เช่น ไข่ไก่เบอร์ M แผงละ 80 บาท น้ำตาลทรายกิโลกรัมละ 20 บาท น้ำมันพืชปาล์มขวดละ 40 บาท และข้าวหอมมะลิ (5 กก.) ถุงละ 120 บาท รวมทั้งสินค้าผลไม้และสินค้าจากกลุ่มเกษตรกรชายแดนที่รวมเป็น “เซตสินค้า” จำหน่ายในราคาพิเศษทุกวัน “กรมการค้าภายใน ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียง มาร่วมเลือกซื้อสินค้าคุณภาพในราคาประหยัดภายในงาน ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระค่าครองชีพแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นและเกษตรกรได้จำหน่ายสินค้าถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ถือเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานรากในพื้นที่ชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับแนวทาง Quick Big Win ที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญในการสร้างความเป็นธรรมทางการค้า และส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นางสาวญาณีฯ กล่าว
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 23/2569 DIT เดินหน้ายกระดับมาตรฐานชั่งตวงวัด เปิดสำนักงานอุบลฯ–ลุยตรวจทั่วอีสาน สร้างความเชื่อมั่นเกษตรกรขายสินค้าได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย (3 พฤศจิกายน 2568)
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 -อุบลราชธานี นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธานพิธีเปิด สำนักงานชั่งตวงวัดสาขาเขต 2–4 จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมปล่อยขบวน “คาราวานสายตรวจเครื่องชั่งและเครื่องมือวัดสินค้าเกษตร” โดยเปิดเผยว่า “ภายใต้นโยบายของ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งสร้าง “ความเป็นธรรมทางการค้าและความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจฐานราก โดย กรมการค้าภายใน (DIT) มีภารกิจงานในการสร้างความเป็นธรรมในด้าน “ชั่งตวงวัด” ที่ขับเคลื่อนโดยกองชั่งตวงวัดส่วนกลางและส่วนภูมิภาคระดมตรวจสอบดูแลความเป็นธรรมให้กับพี่น้องเกษตรกรและประชาชน โดยวันนี้ได้มีการเปิดสำนักงานชั่งตวงวัดแห่งใหม่ ที่จังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรวิทยาเชิงพาณิชย์ของประเทศ เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูผลผลิตของสินค้าเกษตรออกสู่ตลาด เช่น ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานีเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” นางสาวญาณีฯ กล่าวต่อว่า “ โดยในวันนี้ได้มีการปล่อยคาราวานสายตรวจเครื่องชั่งและเครื่องวัดสินค้าเกษตร ลงพื้นที่ตรวจสอบใน 5 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และยโสธร ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2568 โดยจัดทีมสายตรวจจำนวน 8 สาย ออกตรวจสถานที่รับซื้อสินค้าเกษตรไม่น้อยกว่า 400 แห่ง เพื่อกำกับให้การซื้อขายเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม การตรวจสอบครั้งนี้ครอบคลุมเครื่องชั่งน้ำหนัก ทั้งประเภทเครื่องชั่งรถยนต์ เครื่องชั่งซื้อขายทั้งประเภทเครื่องชั่งสปริงและเครื่องชั่งดิจิตอล เครื่องวัดความชื้นข้าว และเครื่องวัดเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้ง ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการซื้อขายพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ สินค้าเกษตรอีกหลายชนิด เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนฤดูเก็บเกี่ยวสินค้าเกษตรที่สำคัญ “กรมฯ ขอให้เกษตรกรและประชาชนสังเกต สติ๊กเกอร์รูปครุฑของกรมการค้าภายใน ที่ติดบนเครื่องชั่งและเครื่องวัด ซึ่งแสดงว่าได้ผ่านการตรวจสอบแล้ว โดยในปีงบประมาณ 2568 จะใช้สติ๊กเกอร์สีเทาเป็นเครื่องหมายที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องแล้วและขอให้ผู้ประกอบการทุกแห่งปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบการใช้เครื่องชั่งตวงวัดที่ไม่ถูกต้องจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด” นางสาวญาณีกล่าวย้ำ ทั้งนี้ หากตรวจพบการใช้เครื่องมือชั่งตวงวัดที่ไม่ถูกต้อง หรือที่มีค่าความคลาดเคลื่อนเกินเกณฑ์ จะมีความผิดตาม มาตรา 79 แห่งพระราชบัญญัติชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการดัดแปลงเครื่องมือวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตาม มาตรา 75 โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 280,000 บาท ในส่วนของผู้บริโภคและเกษตรกร หากพบปัญหาหรือสงสัยว่าได้รับความไม่เป็นธรรมจากการใช้เครื่องชั่งตวงวัด สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน DIT 1569 หรือที่สำนักงานสาขาชั่งตวงวัดและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ สำหรับปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้ตรวจสอบเครื่องมือวัดทั่วประเทศแล้วกว่า 9 ล้านเครื่อง พบการกระทำผิดเพียง 455 ราย หรือไม่ถึงร้อยละ 0.2 โดยกรมฯ ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้ทุกการซื้อขายสินค้าเกษตรเป็นธรรม โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและเกษตรกรทั่วประเทศ นางสาวญาณี ศรีมณี กล่าวทิ้งท้ายว่า “กรมการค้าภายในจะเดินหน้ายกระดับมาตรฐานการตรวจสอบชั่งตวงวัดของไทยให้เป็นมาตรฐานสากล เพราะงานชั่งตวงวัด เป็นกลไกสำคัญของในการคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างความเที่ยงตรงในระบบการค้า เมื่อเครื่องชั่งและเครื่องวัดมีมาตรฐาน เกษตรกรก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับราคาที่เป็นธรรม ผู้ประกอบการก็สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างโปร่งใส นี่คือหัวใจของนโยบายสร้างความเป็นธรรมทางการค้า เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแรง ขอให้พี่น้องเกษตรกรมั่นใจได้ว่า การขายผลผลิตของท่านจะได้รับเงินอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย”
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 22/2569 DIT ลุยภาคอีสาน! เตรียมความพร้อมโรงสีรับผลผลิตข้าวนาปี 2568/69 หนุนโครงการชดเชยดอกเบี้ย เสริมสภาพคล่องรับซื้อข้าวชาวนา พยุงราคาข้าวต้นฤดูกาล (3 พฤศจิกายน 2568)
นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามการรับซื้อข้าวเปลือกใน โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โดยเปิดเผยว่า “รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลเสถียรภาพสินค้าเกษตร โดยเฉพาะ “ข้าว” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และเป็นหนึ่งใน นโยบาย Quick Big Win ของนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มุ่งยกระดับรายได้และสร้างเสถียรภาพให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน กรมการค้าภายใน จึงได้ติดตามและขับเคลื่อนมาตรการโครงการชดเชยดอกเบี้ยฯ เพื่อรองรับปริมาณข้าวเปลือกในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก นางสาวญาณี กล่าวต่อว่า “สำหรับปีการผลิต 2568/69 ในฤดูกาลนาปีคาดว่าทั่วประเทศจะมีผลผลิตรวมกว่า 26.99 ล้านตัน และจังหวัดอุบลราชธานีเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะพันธุ์ “ขาวดอกมะลิ 105” ซึ่งเป็นข้าวคุณภาพสูงที่เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูก โดยในช่วงนี้ผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดและจะออกมากในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้” โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้เริ่มดำเนินโครงการชดเชยดอกเบี้ย โดยพิจารณาคุณสมบัติของโรงสีที่เข้าสมัครมาทั้งหมดและให้เริ่มรับซื้อตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มเร็วกว่าปีก่อน เพื่อให้ผู้ประกอบการและโรงสีสามารถรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรได้ทันก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด โดยในโครงการรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ 3 เป็นระยะเวลา 2–6 เดือน เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องในการกู้เงินจากสถาบันการเงินมารับซื้อและเก็บสต็อกข้าว โดยในปีนี้มีผู้ประกอบการโรงสีให้ความสนใจเข้าร่วมมากถึง 217 ราย จาก 44 จังหวัดทั่วประเทศ รวมเป้าหมายดูดซับข้าวเปลือกกว่า 4 ล้านตัน เพื่อชะลอการจำหน่ายผลผลิตออกตลาดในช่วงต้นฤดูกาล และช่วยสร้างเสถียรภาพราคาข้าวอย่างยั่งยืน สำหรับ จังหวัดอุบลราชธานีมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 11 ราย รวมวงเงินสินเชื่อกว่า 1,350 ล้านบาท คิดเป็นปริมาณข้าวกว่า 146,400 ตัน โดยหนึ่งในโรงสีหลักคือ โรงสีข้าวยิ่งไพบูลย์ (2007) จำกัด ซึ่งได้รับจัดสรรวงเงินสินเชื่อ 370 ล้านบาท เพื่อดูดซับข้าวกว่า 30,000 ตัน จากเกษตรกรในพื้นที่ ถือเป็นโรงสีที่มีความพร้อมทั้งด้านศักยภาพการผลิตและมาตรฐานคุณภาพ ได้รับการรับรอง GMP, ISO 9001:2015 และ Halal มีกำลังการสีข้าวกว่า 200 ตันต่อวัน“ นางสาวญาณี กล่าวระหว่างการตรวจเยี่ยมว่า “โรงสียิ่งไพบูลย์เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายในมาอย่างต่อเนื่อง การเข้าร่วมโครงการชดเชยดอกเบี้ยในปีนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้โรงสี แต่ยังช่วยให้เกษตรกรมีตลาดรองรับผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ให้เกิดผลจริงในพื้นที่” นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยังเดินหน้าสร้างความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง โดยได้สั่งการให้สำนักงานชั่งตวงวัดส่วนภูมิภาคลงพื้นที่ตรวจสอบ เครื่องชั่งน้ำหนักรถบรรทุกและเครื่องวัดความชื้น ของผู้ประกอบการรับซื้อข้าวเปลือกทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีผลโดยตรงต่อราคารับซื้อ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรว่าการชั่งน้ำหนักและวัดความชื้นมีความเที่ยงตรง โปร่งใส และตรวจสอบได้ “กรมฯ จะดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรม และขอให้พี่น้องเกษตรกรเกี่ยวข้าวในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ข้าวมีความชื้นที่ได้มาตรฐาน (ความชื้น 15%) ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรได้รับราคารับซื้อที่ดีที่สุด” รองอธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวย้ำ ด้าน นายอานุภาพ ภรณ์พิริยะนิยม อุปนายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือกล่าวขอบคุณกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการชดเชยดอกเบี้ย ซึ่งช่วยเสริมกำลังให้ผู้ประกอบการโรงสีสามารถรับซื้อข้าวจากเกษตรกรได้มากขึ้น “โครงการนี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการชะลอผลผลิตข้าวเปลือกไม่ให้ออกสู่ตลาดพร้อมกัน ซึ่งหากเกิดขึ้นจะกระทบต่อราคาทั้งข้าวเปลือกและข้าวสาร การมีโครงการชดเชยดอกเบี้ยช่วยให้โรงสีสามารถบริหารสต็อกได้ดีขึ้น เกษตรกรขายได้ในราคาที่เหมาะสม และทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ร่วมกัน” นายอานุภาพ กล่าว “กรมการค้าภายในจะติดตามสถานการณ์และประสานกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โครงการชดเชยดอกเบี้ยเกิดผลเป็นรูปธรรม ช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร และสร้างเสถียรภาพราคาข้าวอย่างยั่งยืนต่อไป” นางสาวญาณีฯ กล่าว
ดูเพิ่มเติม
Dit Logo New (2)

ธ สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สอบถามข้อมูล

arrow-down

DIT Chat Service ยินดีให้บริการ

maximize
สอบถามข้อมูลเพิมเติมกับเจ้าหน้าที่ (Admin)

บริการของกรมการค้าภายใน

7422635f-7946-4705-88ec-05d965bd7b40

การขออนุญาตประกอบการค้า

862c658c-96a2-4f51-87cb-7ae89028e48a

สอบถามราคาสินค้าเกษตร

e776ba32-103f-4917-b746-5333af42cf9d

รวบรวมกิจกรรมกรมการค้าภายใน

3e6fa301-b225-4427-b882-4d78e453a2ed

การเดินทางมายังกรมการค้าภายใน

เลขที 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000

โทรศัพท์ 0-2507-5530

โทรสาร: 0-257-5361

E-mail: Saraban@dit.go.th

Call Center: 1569 ร้องเรียน/เสนอแนะ