ข่าวเลขที่ 257/2568 “DIT” DIT เข้มงวดโรงงานอาหารสัตว์ต้องรับซื้อข้าวโพดภายในประเทศ ก่อนขอโควตานำเข้า ช่วยดึงราคาในประเทศให้เกษตรกร (21 สิงหาคม 2568)
DIT เข้มงวดโรงงานอาหารสัตว์ต้องรับซื้อข้าวโพดภายในประเทศ ก่อนขอโควตานำเข้า ช่วยดึงราคาในประเทศให้เกษตรกร นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรในหลายพื้นที่เริ่มทยอยออกสู่ตลาด แต่ยังพบว่าโรงงานอาหารสัตว์บางแห่งชะลอการรับซื้อหรือจำกัดคิวรับซื้อ ส่งผลให้ราคาข้าวโพดปรับลดลง สร้างความกังวลและเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้ปลูก ซึ่งเป็นเรื่องที่กรมการค้าภายในติดตามอย่างใกล้ชิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ จึงได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเข้มงวดกำกับดูแลโรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่ง เพื่อให้การรับซื้อผลผลิตของเกษตรกรเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกับสมาคมการค้าพืชไร่ สมาคมการค้าและผลิตพืชไร่จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดในจังหวัดเพชรบูรณ์และนครสวรรค์ นางสาวญาณี กล่าวต่อว่า โรงงานอาหารสัตว์ที่จะนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ จะต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศก่อน โดยราคากำหนดตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ที่ 9.80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งการรับซื้อในราคานี้ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่โรงงานจะสามารถใช้เอกสารยืนยันในการขออนุญาตนำเข้าข้าวโพดภายใต้โควตา WTO หรือข้าวสาลีได้ ทั้งนี้ กรมการค้าภายในได้ประสานขอความร่วมมือกับโรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่ง ให้เร่งเปิดรับซื้อผลผลิตภายในประเทศโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร พร้อมทั้งได้ส่งเจ้าหน้าที่สายตรวจ DIT ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานที่ไม่ให้ความร่วมมืออย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติเป็นไปตามข้อกำหนดและเป็นธรรมต่อเกษตรกร การรับซื้อของโรงงานในราคาดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ และจังหวัดข้างเคียง สามารถขายข้าวโพดสดที่ความชื้น 30% ได้ในราคากิโลกรัมละ 7.05 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่เกษตรกรสามารถอยู่ได้ นางสาวญาณี กล่าว นอกจากนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปี 2568/69 กรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบขพ. จะจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในวันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม 2568 โดยจะเชิญหน่วยงานภาครัฐ เกษตรกร พ่อค้า และโรงงานอาหารสัตว์ มาหารือแนวทางการกำกับดูแลการรับซื้อและการนำเข้าข้าวโพด พร้อมพิจารณามาตรการบริหารจัดการผลผลิตปี 2568/69 ให้สอดคล้องกับปริมาณผลผลิตที่จะเริ่มออกสู่ตลาดมากในช่วงต้นเดือนกันยายน กรมการค้าภายในให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นธรรมให้เกษตรกรและกำกับการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศอย่างเข้มงวด เพื่อให้การผลิตอาหารสัตว์เป็นไปอย่างสมดุลและยั่งยืน โรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่งจึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขรับซื้อผลผลิตภายในประเทศก่อน จึงจะมีสิทธิขอโควตานำเข้าได้ นางสาวญาณี กล่าว
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 256/2568 “DIT” ตรวจสอบร้านดังประตูผี ผิดฐานไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่าย ไข่เจียวปูพิเศษ เปรียบเทียบปรับ 2,000 บาท พร้อมสอบต่อกรณีแพงเกินสมควรหรือไม่ (21 สิงหาคม 2568)
DIT ตรวจสอบร้านดังประตูผี ผิดฐานไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่าย ไข่เจียวปูพิเศษ เปรียบเทียบปรับ 2,000 บาท พร้อมสอบต่อกรณีแพงเกินสมควรหรือไม่ กรมการค้าภายใน (DIT) ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านอาหารชื่อดังย่านประตูผี เจ๊ไฝ หลังยูทูบเบอร์ชื่อดัง พีชชี่ โพสต์สื่อออนไลน์เล่าประสบการณ์สั่งเมนูไข่เจียวปู ราคาในเมนู 1,500 บาท แต่ถูกเก็บจริง 4,000 บาท ตรวจสอบพบร้านมีการจำหน่าย ไข่เจียวปูแบบพิเศษ VVIP ในราคา 4,000 บาท แต่ไม่ระบุรายการและราคานี้ในเมนูอาหาร เข้าข่ายจำหน่ายสินค้าโดยไม่ปิดป้ายแสดงราคา จึงดำเนินการเปรียบเทียบปรับเป็นพินัย 2,000 บาท พร้อมตรวจสอบต้นทุนเพิ่มเติมว่ามีการจำหน่ายแพงเกินสมควรหรือไม่ หากพบผิดกฎหมายจะมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (DIT) เปิดเผยหลังเจ้าหน้าที่สายตรวจเฉพาะกิจ DIT ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านเจ๊ไฝ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ภายหลังกระแสข่าวจากยูทูบเบอร์ พีชชี่ ที่เผยว่าถูกคิดราคาไข่เจียวปูจริง 4,000 บาท ทั้งที่เมนูแสดงราคา 1,500 บาท นายวิทยากร เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบหลักฐานและการชี้แจงของผู้ประกอบการ ร้านได้ยอมรับว่าทำเมนูไข่เจียวปูให้ลูกค้าเป็นแบบพิเศษ และไม่ได้มีการแสดงราคาอาหารปรุงสำเร็จสำหรับเมนูพิเศษ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบก่อนตัดสินใจสั่งอาหารจริง โดยแสดงไว้เพียงแค่ราคาจำหน่าย เมนูไข่เจียวปู ราคา 1,500 บาท ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาจำหน่าย (เมนูพิเศษ) จึงเปรียบเทียบปรับเป็นพินัย 2,000 บาท ซึ่งร้านได้ชำระค่าปรับแล้ว พร้อมกำชับให้ปิดป้ายราคาให้ชัดเจนและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป ทั้งนี้ ความผิดดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 68 พ.ศ. 2568 เรื่องการแสดงราคาสินค้าและค่าบริการ มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 28 และมีโทษตามมาตรา 40 โดยปรับไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการเปรียบเทียบปรับเป็นพินัย โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์การปรับเป็นพินัยประกอบกับแนวทางปฏิบัติในการเปรียบเทียบปรับของพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยกำหนดอัตราค่าปรับร้านค้าทั่วไป 1,000 2,000 บาท และนิติบุคคล 3,000 บาท ซึ่งในกรณีนี้เป็นร้านค้าทั่วไป กรมฯ จึงพิจารณาประกอบหลักเกณฑ์ตามข้อกฎหมาย และได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับเป็นพินัยในอัตรา 2,000 บาท ซึ่งร้านได้ชำระค่าปรับแล้วในวันตรวจสอบ นายวิทยากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในประเด็นการจำหน่ายราคาแพงเกินสมควร DIT ได้ให้ร้านชี้แจงต้นทุนวัตถุดิบ เครื่องปรุง ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาวิเคราะห์ความเหมาะสมของราคา หากพบว่าราคาจำหน่ายสูงเกินจริง จะพิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นายวิทยากร กล่าวตอนท้ายว่า กรณีนี้เป็นเคสที่จะย้ำเตือนร้านอาหาร รวมถึงร้านจำหน่ายสินค้าและบริการ ที่มีหน้าที่ต้องปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน และต้องจำหน่ายให้ตรงกับราคาที่แสดงไว้ (เว้นแต่จำหน่ายถูกกว่า) เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทราบ และเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าก่อนที่จะซื้อสินค้าและบริการดังกล่าว ทั้งนี้ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากประกาศ กกร. ในเว็บไซต์กรมการค้าภายใน www.dit.go.th ทั้งนี้ สำหรับผู้บริโภคและประชาชนที่พบเห็นร้านอาหารไม่ปิดป้ายแสดงราคาและรายละเอียดให้ชัดเจน หรือสงสัยว่าตั้งราคาสูงเกินจริง สามารถแจ้งเบาะแสมายังสายด่วน DIT โทร. 1569 เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคอย่างเหมาะสม
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 255/2568 “จตุพร” รับข้อเรียกร้องเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพด เพชรบูรณ์ ยืนยันสั่งแก้ปัญหาทันที – เข้มโรงงานรับซื้อผลผลิตในประเทศก่อนนำเข้า (20 สิงหาคม 2568)
จตุพร รับข้อเรียกร้องเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพด เพชรบูรณ์ ยืนยันสั่งแก้ปัญหาทันที เข้มโรงงานรับซื้อผลผลิตในประเทศก่อนนำเข้า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เวลา 17.00 น. ณ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกับ ส.ส.จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ (เขต 5) นายวรโชติ สุคนธ์ขจร (เขต 4) นายบุญชัย กิตติธาราทรัพย์ (เขต 3) พรรคพลังประชารัฐ และตัวแทนสมาคมการค้าพืชไร่ สมาคมการค้าและผลิตพืชไร่จังหวัดเพชรบูรณ์ รวมถึงเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพด จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนจากราคาข้าวโพดตกต่ำ นายจตุพร กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของเกษตรกรอย่างเร่งด่วน โดยได้หารือกับโรงงานผู้ผลิตอาหารสัตว์ และยืนยันว่าภายในวันศุกร์นี้จะมีการเปิดรับซื้อข้าวโพดในทุกโรงงานตามราคาที่ได้กำหนดไว้ ที่ 9.80 บาท/กิโลกรัม ตามมติ นบขพ. ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ปลูกและผู้รวบรวม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ผลผลิตในประเทศต้องได้รับการรับซื้อให้หมดก่อน ถึงจะพิจารณาการนำเข้าจากต่างประเทศ นี่คือหัวใจของมาตรการ ซึ่งรัฐบาลจะไม่ปล่อยให้เกษตรกรเดือดร้อนแน่นอน พร้อมทั้งมีมาตรการธงเขียวช่วยลดต้นทุนการผลิตเพื่อลดภาระให้เกษตรกรอีกทางด้วย รมว.พาณิชย์ กล่าว นอกจากนี้ นายจตุพรยังได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ตรวจสอบการรับซื้อ หากพบโรงงานใดไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด จะดำเนินการทันที ด้านตัวแทนเกษตรกรชาวไร่ข้าวโพดจังหวัดเพชรบูรณ์ กล่าวว่า ปีนี้ราคาข้าวโพดตกต่ำกว่าทุกปีที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรประสบภาวะขาดทุนหนัก โดยปัจจุบันราคาข้าวโพดที่มีความชื้น 30% อยู่เพียงประมาณ 5 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงถึงไร่ละกว่า 6,600 บาท จึงอยากให้เร่งแก้ปัญหา วันนี้ต้องขอขอบคุณท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่มารับฟังปัญหา และรับปากจะดำเนินการทันที ทำให้พวกเราเกษตรกรสบายใจขึ้นมาก เพชรบูรณ์ถือเป็นเมืองหลวงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ผลผลิตเพิ่งออกสู่ตลาดเพียง 20% แต่ราคาก็ร่วงลงมาแล้ว หากไม่เร่งแก้ไข เกษตรกรคงอยู่ไม่ได้ การที่รัฐมนตรีออกมารับประกันว่าจะซื้อในประเทศก่อนนำเข้า ถือเป็นความหวังสำคัญที่จะช่วยให้พวกเรามีรายได้และอยู่รอดต่อไป ตัวแทนเกษตรกร กล่าว
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 254/2568 “DIT” X “ช่อง 3” ผนึกกำลังสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนลำไยภาคเหนือ และชาวสวนมะพร้าวน้ำหอม จังหวัดราชบุรี นำมาจำหน่าย (19 สิงหาคม 2568)
DIT X ช่อง 3 ผนึกกำลังสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนลำไยภาคเหนือ และชาวสวนมะพร้าวน้ำหอม จังหวัดราชบุรี นำมาจำหน่าย DIT กรมการค้าภายใน ผนึกกำลังสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนลำไยภาคเหนือ และชาวสวนมะพร้าวน้ำหอม จังหวัดราชบุรี นำมาจำหน่าย ณ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ระหว่างวันที่ 19 20 สิงหาคม 2568 และประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ร่วมอุดหนุนผลไม้จากเกษตรกรไทยเพื่อช่วยลดปัญหาผลไม้ล้นตลาด โดยการอุดหนุนลำไยสดช่อ เกรด AA+A มาจำหน่ายในราคา บรรจุตะกร้าละ 3 กิโลกรัม ราคาเพียง 110 บาท ในส่วนของมะพร้าว ได้นำมะพร้าวน้ำหอมจากจังหวัดราชบุรี มาจำหน่ายราคาลูกละ 15 บาท มะพร้าวพร้อมทาน ลูกละ 25 บาท และน้ำมะพร้าวบรรจุขวด ขวดละ 25 บาท ณ อาคารมาลีนนท์ ชั้น G เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลำไยภาคเหนือ และชาวสวนมะพร้าวน้ำหอม ให้มีรายได้ เพิ่มโอกาสขาย และเป็นกำลังใจที่ดีต่อเกษตรกรต่อไป นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า วันนี้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน (DIT) เชื่อมโยงผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภค โดยใช้กลไกภาครัฐ และเอกชนช่วยสนับสนุนผลผลิต CSR ตามแนวทาง ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย ของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในช่วงนี้ลำไยและมะพร้าวออกสู่ตลาดมากอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคม ที่ลำไยภาคเหนือออกสู่ตลาดกว่า 422,000 ตัน และมะพร้าวน้ำหอมออกว่า 15 ล้านลูกต่อวัน โดยมีตลาดรองรับ ส่งออก แปรรูป บริโภคในประเทศ ประมาณ 14 ล้านลูกต่อวัน ทำให้คงเหลือประมาณ 1 ล้านลูกต่อวัน ในโอกาสนี้ก็ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ช่วยกันอุดหนุนลำไยและมะพร้าวน้ำหอมจากเกษตรกร ที่เราคัดเลือกมาเป็นอย่างดีในราคาที่ต้องบอกว่าทุกคนต้องติดใจแน่นอน รวมถึงบริโภคผลไม้ไทยจากเกษตรกรไทยอื่นๆ สามารถสั่งซื้อได้จากกลุ่มเกษตรกรที่มีช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์ได้โดยตรง และเพื่อจะให้การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ผ่านพ้นวิกฤตในฤดูกาลนี้ ต้องขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานทั่วประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทางจังหวัด และอำเภอ ช่วยกันสนับสนุนสั่งซื้อผลไม้ประชาสัมพันธ์ว่าสามารถสั่งซื้อผลไม้พรีออเดอร์ lot ใหญ่ ผ่านทางสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด หรือสั่งผ่าน Line OA : @ditthaifruits ที่กรมการค้าภายในดูแลได้ ซึ่งจะมีทีมเจ้าหน้าที่ให้บริการกับทุกท่านให้การให้ข้อมูล โดยกรมการค้าภายในจะช่วยดำเนินการจัดส่งถึงมือท่านตามหน่วยงานต่างๆที่ประสงค์สนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว จากพี่น้องชาวสวนที่มีคุณภาพสินค้าที่โดนใจผู้บริโภคอย่างแน่นอน มาตรการช่วยเหลือผลไม้เป็นมาตรการบริหารจัดการผลไม้ ปี 2568 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในการเชื่อมโยงตลาด โดยเน้น ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย และได้มอบหมายให้ DIT ดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อดูดซับผลผลิตและสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรว่าสามารถนำผลผลิตคุณภาพดีมาจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 253/2568 พาณิชย์ลงพื้นที่ระนอง ตรวจเข้มข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ป้องกันลักลอบนำเข้า–กดราคารับซื้อ โทษหนักทั้งจำทั้งปรับ (18 สิงหาคม 2568)
พาณิชย์ลงพื้นที่ระนอง ตรวจเข้มข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ป้องกันลักลอบนำเข้า กดราคารับซื้อ โทษหนักทั้งจำทั้งปรับ นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 15 สิงหาคม 2568 ได้ลงพื้นที่จังหวัดระนอง เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน การนำเข้า และการขนย้ายสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามนโยบายของนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกร และกำกับดูแลราคาสินค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพ การลงพื้นที่ครั้งนี้มีการตรวจสอบการนำเข้าและการขนย้ายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่สายตรวจเฉพาะกิจกองตรวจสอบและปฏิบัติการ นายตรวจชั่งตวงวัด และเจ้าหน้าที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดระนอง โดยลงพื้นที่ด่านศุลกากรจังหวัดระนอง และตรวจเยี่ยมผู้ประกอบการท่าเรือทั้งภาครัฐและเอกชน การปฏิบัติการเป็นความร่วมมือบูรณาการจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ กรมศุลกากร กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ การท่าเรือและกระทรวงพาณิชย์ เพื่อควบคุมการนำเข้าและการขนย้ายให้เป็นระบบ ป้องกันการลักลอบนำเข้า และให้การขนย้ายดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รองอธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงนี้ผลิตข้าวโพดของไทยเริ่มออกสู่ตลาด กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์โดยเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านปริมาณ ราคา การรับซื้อ และการขนย้ายสินค้าเกษตรตามแนวชายแดนอย่างใกล้ชิด โดยจัดส่งสายตรวจพิเศษลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องปรามการขนย้ายที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและตรวจสอบการรับซื้อขายตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรในฤดูกาลผลิตนี้ พร้อมกันนี้ ได้เตือนผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และ พระราชบัญญัติชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 ดังนี้ กรณีไม่แสดงราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท แสดงราคารับซื้อไม่ถูกต้อง หรือขนย้ายไม่ตรงตามใบอนุญาต จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กดราคารับซื้อ จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ไม่แจ้งปริมาณหรือสถานที่เก็บ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท และปรับรายวันไม่เกิน 2,000 บาท จนกว่าจะปฏิบัติถูกต้อง ดัดแปลงเครื่องชั่งตวงวัดหรือโปรแกรมที่ใช้กับเครื่องชั่ง จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 280,000 บาท ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ที่ สายด่วน 1569 หรือที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 252/2568 ‘จตุพร’ ขอบคุณพลัง “ไทยช่วยไทย” ดันราคาลำไย รูดร่วงเกรด AA ขยับสูงขึ้นแตะ 13 บาท/กก. ย้ำ เดินหน้าทุกมาตรการช่วยลำไยจนจบฤดูกาล (18 สิงหาคม 2568)
จตุพร ขอบคุณพลัง ไทยช่วยไทย ดันราคาลำไย รูดร่วงเกรด AA ขยับสูงขึ้นแตะ 13 บาท/กก. ย้ำ เดินหน้าทุกมาตรการช่วยลำไยจนจบฤดูกาล วันที่ 18 สิงหาคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ DIT กรมการค้าภายใน ติดตามสถานการณ์การซื้อขายลำไยภาคเหนืออย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินมาตรการบริหารจัดการผลผลิตลำไยพันธุ์อีดอในพื้นที่ภาคเหนือใน ซึ่งขณะนี้ผลผลิตลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน เชียงรายพะเยา น่าน ลำปาง ตาก และแพร่ มีปริมาณที่ออกสู่ตลาดแล้วกว่า 700,000 ตัน คิดเป็นร้อยละ 63 ของผลผลิตทั้งหมดในปี 2568 โดย DIT ได้เร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกตั้งแต่ต้นฤดูกาลทั้งด้านการกระจายผลผลิตและการเชื่อมโยงตลาดทั่วประเทศ รวมทั้งการสนับสนุนเข้าสู่การแปรรูปเป็นลำไยอบแห้งเพื่อส่งออก เพื่อดูดซับผลผลิตที่ออกมากในช่วงฤดูกาลให้มากที่สุด นายจตุพร กล่าวต่อว่า ตามนโยบาย ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย และพาณิชย์พึ่งได้ ในการบูรณาการร่วมกับพันธมิตรหลายภาคส่วน ทั้งห้างค้าปลีกสมัยใหม่ ตลาดกลางสินค้าเกษตร ผู้ส่งออก สมาคมผู้ผลิตลำไยอบแห้งภาคเหนือ รวมถึงภาคเอกชนที่เข้ามาทำกิจกรรม CSR โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET และภาครัฐต่าง ๆ ที่รับซื้อลำไยอีดอจากเกษตรกรโดยตรง ผ่านการประสานของกรมการค้าภายใน ซึ่งช่วยลดปริมาณผลผลิตล้นตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สถานการณ์ราคาลำไยปัจจุบัน (ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2568) ลำไยสดช่อ เกรด AA อยู่ที่ 27 บาท/กก. เกรด A อยู่ที่ 23 บาท/กก. ขณะที่ลำไยรูดร่วง เกรด AA อยู่ที่ 13 บาท/กก. และเกรด A อยู่ที่ 8 บาท/กก. ปรับราคาสูงขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อน 4-5 บาทต่อกก. ซึ่งทำให้พี่น้องเกษตรกรพอใจเป็นอย่างมาก นายจตุพร กล่าวว่า ประการสำคัญที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนลำไยได้ขายผลผลิตได้ในราคาดีขึ้น คือ การช่วยกันซื้อช่วยกันบริโภคผลไม้ไทยของพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ผ่านกลไกของการจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคผลไม้ THAI FRUITS FESTIVAL 2025 ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีคำสั่งซื้อของประชาชน ส่วนราชการ และเอกชนที่อยู่ในภาคอื่น ๆ ที่ช่วยกันสั่งซื้อลำไย ทำให้สามารถกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิตได้ในปริมาณมาก สร้างสมดุลระหว่างแหล่งผลิตและแหล่งบริโภค ลดปัญหาล้นตลาดในพื้นที่ภาคเหนือได้อย่างเป็นชัดเจน นอกจากนี้ DIT ยังได้เปิดจุดจำหน่ายในกรุงเทพมหานคร และนนทบุรีให้เกษตรกรนำลำไยมาขายโดยตรงแก่ผู้บริโภค โดยสนับสนุนค่าขนส่งให้กับเกษตรกรนำลำไยจากสวนมาจำหน่ายตลอดเดือนสิงหาคมนี้ในชุมชนต่าง ๆ อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข อาคารมาลีนนท์ เพื่อให้ประชาชนได้ช่วยอุดหนุนเกษตรกรโดยตรง สร้างรายได้และความมั่นใจให้กับผู้ปลูกลำไยในพื้นที่ ขณะเดียวกัน DIT ยังได้สนับสนุนกล่องบรรจุภัณฑ์และตะกร้าลำไย ส่งมอบให้แก่กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ในจังหวัดภาคเหนือเพื่อนำไปใช้ในการบรรจุผลผลิตลำไยเพื่อจัดส่งให้กับผู้สั่งซื้อทั่วประเทศ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มปริมาณการซื้อลำไยผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย นายจตุพร ย้ำว่า ผลจากการบริหารจัดการและความร่วมมืออย่างเข้มแข็ง ทำให้ราคาลำไยอีดอในหลายพื้นที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และกระทรวงพาณิชย์พร้อมเดินหน้าตามนโยบาย พาณิชย์พึ่งได้ ไทยช่วยไทย เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร ดูแลราคาสินค้าเกษตร และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคทั่วประเทศ
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 251/2568 จตุพร ประกาศ “พาณิชย์พึ่งได้” หนุนทุเรียนเบตง ราคาขยับสูง เสริมเครือข่ายผู้ซื้อ–ผู้ขายเข้มแข็ง (17 สิงหาคม 2568)
จตุพร ประกาศ พาณิชย์พึ่งได้ หนุนทุเรียนเบตง ราคาขยับสูง เสริมเครือข่ายผู้ซื้อ ผู้ขายเข้มแข็ง วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน พร้อมกรมที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดยะลา เพื่อติดตามสถานการณ์การซื้อขายทุเรียนในพื้นที่อำเภอเบตง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตทุเรียนสำคัญของภาคใต้ตอนล่าง โดยย้ำว่า กระทรวงพาณิชย์จะเป็นที่พึ่งของเกษตรกรในทุกมิติ ทั้งด้านราคา การตลาด และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย นายจตุพร เปิดเผยว่า ปัจจุบันราคาทุเรียนในพื้นที่ขยับตัวสูงขึ้น ถือเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกร โดยวันนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมล้งรับซื้อ ซึ่งพบว่ามีการจัดการที่มีคุณภาพและเป็นระบบ เกษตรกรสามารถนำทุเรียนรุ่นแรกออกจำหน่ายได้ในราคาที่น่าพอใจ พร้อมทั้งขอบคุณผู้ประกอบการที่ให้ความจริงใจ ดูแลเกษตรกร และรับฟังข้อเสนอแนะอย่างใกล้ชิด ดีใจแทนพี่น้องเกษตรกรที่มีล้งคุณภาพ และเป็นที่ปรึกษาได้ พาณิชย์ต้องพึ่งได้ ต้องเป็นที่พึ่งของทั้งผู้ผลิตและผู้ซื้อ เกษตรกรกับล้งต้องช่วยกัน ไทยต้องช่วยไทย นายจตุพร กล่าว ทั้งนี้ จังหวัดยะลาเป็นพื้นที่ปลูกผลไม้ใหญ่แห่งหนึ่งของภาคใต้ตอนล่าง และการมีระบบรับซื้อที่เป็นธรรม ทำให้เกษตรกรในพื้นที่มีความมั่นใจและไม่ต้องเดินทางไกลไปขายที่อื่น โดยวันนี้ได้มาเยี่ยมล้งโกซาน ที่ดำเนินการโดย คุณประเสริฐ คณานุรักษ์ ผู้ประกอบการไทยที่รับซื้อผลผลิตทุเรียนเพื่อการส่งออกทั้งในรูปแบบผลสดและการแกะเนื้อ โดยมีฐานดำเนินการหลักในอำเภอธารโตและอำเภอเบตง จังหวัดยะลา คาดการณ์ว่าในปีนี้จะสามารถรับซื้อทุเรียนได้ไม่น้อยกว่า 7,000 ตัน มีกำลังการรับซื้อในแต่ละวันสูงถึง 120 ตัน ถือเป็นแรงหนุนสำคัญที่สร้างเสถียรภาพด้านการตลาดและความมั่นใจให้แก่เกษตรกร นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังได้กล่าวถึงการดำเนินโครงการ ธงเขียว ว่า ได้พบกับพี่น้องเกษตรกรที่มาขายทุเรียนก็ได้ชี้แจงไปว่ากระทรวงพาณิชย์พร้อมช่วยเหลือพี่น้องโดยจัดโครงการสินค้าธงเขียวลดราคาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานท้องถิ่น และกลุ่มเกษตรกร โดยย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์จะทำทุกวิถีทางเพื่อลดภาระให้กับพี่น้องเกษตรกร และสร้างความมั่นใจว่าการค้าขายในพื้นที่จะเป็นธรรมและยั่งยืน สำหรับจุดแข็งของกลุ่มเกษตรกรในอำเภอเบตง คือการสร้างเครือข่ายกับเกษตรกรในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยได้เริ่มนำร่องควบคุมคุณภาพการผลิตใน 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลแม่หวาด อัยเยอร์เวง และเบตง ซึ่งมีเครือข่ายเกษตรกรมากกว่า 300 ราย มีการจัดระบบเก็บเกี่ยวที่ช่วยทุ่นแรงและลดความเสียหายของผลผลิต รวมถึงการใช้เครื่องมือเฉพาะรูปแบบใหม่เพื่อรักษาคุณภาพของทุเรียน อีกทั้งยังมีแผงทุเรียนในพื้นที่ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศสามารถเข้ามาตรวจสอบกระบวนการผลิตและคุณภาพได้โดยตรง ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายผู้ซื้อ ผู้ขาย ที่จะช่วยผลักดันทุเรียนเบตงสู่ตลาดในและต่างประเทศอย่างมั่นคง
ดูเพิ่มเติม
ข่าวเลขที่ 250/2568 DIT ชูจุดเด่น เนื้อโคไทย นุ่ม อร่อย คุณภาพมาตรฐาน สู้เนื้อนำเข้าได้ ชวนชิม – ช้อป ในงาน “รักแรก รสเนื้อไทย” จากเกษตรกรทั่วประเทศ (16 สิงหาคม 2568)
DIT ชูจุดเด่น เนื้อโคไทย นุ่ม อร่อย คุณภาพมาตรฐาน สู้เนื้อนำเข้าได้ ชวนชิม ช้อป ในงาน รักแรก รสเนื้อไทย จากเกษตรกรทั่วประเทศ นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน (DIT) เดินหน้าจัดโครงการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันสินค้าปศุสัตว์ ปี 2568 ตามนโยบายนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ พร้อมยกระดับการรับรู้คุณภาพ เนื้อโคไทย ให้เป็นที่นิยมและเชื่อมั่นของผู้บริโภคมากขึ้น กรมการค้าภายใน จึงจัดกิจกรรม รณรงค์บริโภคเนื้อโคไทย ในคอนเซปต์ รักแรก รสเนื้อไทย โดยเชื่อมโยงเนื้อโคคุณภาพจากเกษตรกร 8 กลุ่ม มาจำหน่ายในบูธกิจกรรมได้แก่ สหกรณ์โคเนื้อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU Beef) จ.นครปฐม, เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนโคเนื้อล้านนาเชียงราย (Lanna Beef)จ.เชียงราย, วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงโคเนื้อลำตะคอง (NVK Beef) จ.นครราชสีมา, เครือข่ายผู้เลี้ยงโคเนื้อจังหวัดบุรีรัมย์ (Smile Beef), สหกรณ์โคขุนดอกคำใต้ จ.พะเยา, วิสาหกิจชุมชนโคขุนสุรินทร์โกเบครบวงจร จ.สุรินทร์, สหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ จำกัด (Max Beef) จ.นครปฐม และแอนดา ฟาร์ม โดยกิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 14 สิงหาคม 14 กันยายน 2568 ณ เซ็นทรัล พระราม 3 ชั้น 1 (14 - 27 สิงหาคม 68) เซ็นทรัล พระราม 9 ชั้น 6(15 - 24 สิงหาคม 68) เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ชั้น G(28 สิงหาคม - 7 กันยายน 68) และหน้าตึกแดงบางซื่อ (29 สิงหาคม - 14 กันยายน 68 ช่วงศุกร์ - อาทิตย์) ภายในกิจกรรมจะพบกับสินค้าเนื้อโคไทยที่หลากหลาย เช่น ไทยวากิว ลูกผสมแองกัส บีฟมาสเตอร์ หรือชาโรเลส์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากเนื้อโคไทย เช่น เนื้อแดดเดียว ไส้กรอกเนื้อ ไส้อั่วเนื้อ และอีกมากมาย พร้อมกิจกรรมพิเศษ ชิมเนื้อฟรี และโปรโมชั่นส่วนลด 10% ช่วง นาทีทอง ตลอดงาน นอกจากนี้ ในระยะต่อไปยังได้วางแผนที่จะดำเนินการจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคเนื้อโคไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคว่ารสชาติของเนื้อไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก สำหรับสถานการณ์โคเนื้อไทย ปี 2568 คาดว่าผลผลิตอยู่ที่ 1.16 ล้านตัว ลดลง 2% จากปีก่อน คิดเป็นเนื้อโค 0.195 ล้านตัน แต่การบริโภคในประเทศและการส่งออกยังชะลอตัวจากเศรษฐกิจถดถอย และผลกระทบจากอุปทานส่วนเกินที่สะสมตั้งแต่ปี 2565 หลังเวียดนามระงับนำเข้าเพราะพบสารเร่งเนื้อแดง โดยแม้ปัจจุบันไทยส่งออกโคเนื้อได้แล้ว แต่ยังเผชิญปัญหาลักลอบนำเข้า ขณะเดียวกันการเปิดเสรีการค้า ส่งผลให้ไทยมีการนำเข้าเนื้อโคมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความนิยมบริโภคเนื้อโคนำเข้ามากกว่า จากความเข้าใจว่าภาพลักษณ์ของเนื้อไทยมีความเหนียว ไม่นุ่ม ไม่มีกลิ่นหอม รสชาติธรรมดา อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันไทยมีการพัฒนาสายพันธุ์โคและอาหารโค ทำให้ได้เนื้อโคไทยที่นุ่ม มีไขมันแทรกสูง มีกลิ่นหอม รสชาติอร่อย และมีมาตรฐานการจัดการฟาร์มที่ดีแล้วแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างส่งผลให้การบริโภคเนื้อโคไทยยังไม่เพิ่มขึ้นจากเดิม จึงต้องสร้างแนวทางในการตระหนักรู้ให้แก่ประชาชนได้หันมาบริโภคเนื้อในประเทศให้มากขึ้น เพื่อช่วยเกษตรกรไทยของเราให้มีแรงในการแข่งขันกับตลาดการค้าของโลกในปัจจุบัน นางสาวญาณี กล่าวเพิ่มเติมว่า กิจกรรมนี้ไม่เพียงช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่เนื้อโคไทย ว่ามีคุณภาพ หลากหลาย มีมาตรฐานรองรับ และผลิตโดยเกษตรกรไทยที่ใส่ใจในทุกขั้นตอนการเลี้ยงจนถึงกระบวนการแปรรูป ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า ตลอดจนเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร กรมการค้าภายใน ขอเชิญชวนผู้บริโภคทุกท่านมาสัมผัสรสชาติ รักแรก ของเนื้อโคไทย พบกันได้ที่บูธกิจกรรมของเรา นอกจากนี้ ฝากถึงผู้บริโภค ลองเปิดใจชิมเนื้อโคไทย แล้วจะรู้ว่าเนื้อไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก รองอธิบดีกรมการค้าภายในกล่าวทิ้งท้าย
ดูเพิ่มเติม
Dit Logo New (2)

ธ สถิตอยู่ในใจตราบนิรันดร์ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

สอบถามข้อมูล

arrow-down

DIT Chat Service ยินดีให้บริการ

maximize
สอบถามข้อมูลเพิมเติมกับเจ้าหน้าที่ (Admin)

บริการของกรมการค้าภายใน

7422635f-7946-4705-88ec-05d965bd7b40

การขออนุญาตประกอบการค้า

862c658c-96a2-4f51-87cb-7ae89028e48a

สอบถามราคาสินค้าเกษตร

e776ba32-103f-4917-b746-5333af42cf9d

รวบรวมกิจกรรมกรมการค้าภายใน

3e6fa301-b225-4427-b882-4d78e453a2ed

การเดินทางมายังกรมการค้าภายใน

เลขที 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000

โทรศัพท์ 0-2507-5530

โทรสาร: 0-257-5361

E-mail: Saraban@dit.go.th

Call Center: 1569 ร้องเรียน/เสนอแนะ